ชิลี ประเทศที่ใช้รถบัสไฟฟ้าที่สุดในแถบลาตินอเมริกา

 
แหล่งที่มา : http://news.ch3thailand.com
วันที่โพสต์ :  14 มี.ค. 2562
       
ชิลี ประเทศที่ใช้รถบัสไฟฟ้า

ชิลี ได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่มีกองทัพรถบัสไฟฟ้าใหญ่ที่สุดในแถบลาตินอเมริกา ไม่เพียงเพราะต้องการก้าวขึ้นเป็นประเทศพัฒนาเเล้วที่ทันสมัยเท่านั้น แต่ยังช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกันด้วย

ในแต่ละปีแถบลาตินอเมริกาและแคริบเบียนปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศรวมกันถึงร้อยละ 10 ของปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ทั้งหมดบนโลก จากรายงานขององค์การสหประชาชาติ หรือยูเอ็น (UN) เมื่อปีที่ผ่านมา เพื่อลดตัวการก่อโลกร้อนนี้ตามข้อตกลงปารีสและมลพิษทางอากาศในชิลี รัฐบาลชิลีเลือกแก้ระบบขนส่งมวลชนสาธารณะ ด้วยการเลิกใช้รถบัสเก่า ซึ่งใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิง อันเป็นตัวการสำคัญทำให้เกิดภาวะเรือนกระจก หรือโลกร้อน ด้วยการนำเข้ากองทัพรถบัสไฟฟ้ามาเพิ่มอีกร้อยคันจากจีน มาเข้าร่วมวิ่งกับรถบัสคันอื่น ๆ ของทรานซันติอาโก (Transantiago) ระบบขนส่งมวลชนของเมืองหลวงชิลี ซึ่งวิ่งให้บริการประชาชนรอบกรุงซันติอาโก (Santiago) ตั้งแต่ธันวาคมปีที่แล้ว ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้ชิลีมีรถบัสไฟฟ้ามากที่สุดในประเทศแถบลาตินอเมริกา โดยรถบัส 1 คัน ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากท่อไอเสียรถยนต์บนท้องถนนรวมกัน 33 คัน ประโยชน์ที่ชิลีได้รับนอกจากช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและค่าฝุ่นละอองในอากาศตามเป้าหมายหลักที่ตั้งใจแล้ว ยังช่วยภาครัฐประหยัดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการมากถึงร้อยละ 70 เมื่อเทียบกับรถบัสที่ใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิง

ก่อนหน้านี้ ชิลีได้ทดลองวิ่งรถบัสไฟฟ้าจำนวน 2 คันรับส่งผู้โดยสารในกรุงซันติอาโกเป็นเวลา 2-3 เดือน พบว่าได้รับความนิยมอย่างมากจากประชาชน มีผู้ใช้บริการ 3.5 แสนราย

ส่วนประเทศอื่น ๆ ในแถบลาตินอเมริกา ที่ดำเนินรอยตามชิลีเเล้ว เช่น โคลอมเบีย สั่งซื้อรถบัสไฟฟ้ามาใช้วิ่งทดแทนรถบัสปกติแล้วจำนวน 125 คัน ส่วนปานามเริ่มทดลองวิ่งรถบัสไฟฟ้าแล้วในกรุงปานามาซิตี้ โดยสนับสนุนให้คนเลือกใช้รถบัสนี้ ด้วยการเปิดให้ขึ้นฟรีเป็นเวลา 6 เดือน

และหาก 22 เมืองใหญ่ใน 22 ประเทศแถบลาตินอเมริกา สามารถเปลี่ยนรถบัสและแท็กซี่ที่ใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิง เป็นพลังงานไฟฟ้าแทนได้ทั้งหมด จะช่วยให้ประเทศในภูมิภาคนี้ลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกได้ 300 ล้านลูกบาศก์เมตร และช่วยประหยัดพลังงานรวมกันคิดเป็นมูลค่ากว่า 2 ล้านล้านบาทจตามไปด้วย ที่สำคัญยังช่วยลดจำนวนผู้เสียชีวิตก่อนวัยอันควรได้มากกว่า 3.6 หมื่นคนอีกด้วย

Visitors: 636,078