เดินหน้ารถไฟทางคู่อีอีซี เชื่อมท่าเรือ-นิคมฯ ลดต้นทุนขนส่ง
|
|||
แหล่งที่มา : www.bangkokbiznews.com | วันที่โพสต์ : 24 ธ.ค. 2561 | ||
เดินหน้ารถไฟทางคู่อีอีซี เชื่อมท่าเรือ-นิคมฯ ลดต้นทุนขนส่ง | |||
รฟท.เดินหน้าศึกษารถไฟทางคู่ เชื่อม 3 ท่าเรือ อีอีซี กระจายสินค้าทั่วประเทศ ลดต้นทุนการขนส่ง คาดเดือนมี.ค.2562 ได้ผลการศึกษาเบื้องต้น หากไฟเขียวใช้เวลาอีก 6 เดือนออกแบบรายละเอียด คาดใช้เวลาก่อสร้าง 3 ปี ทันรองรับโครงการอีอีซี นายสมเกียรติ เตรียมแจ้งอรุณ วิศวกรโครงการเพิ่มประสิทธิภาพและเพิ่มความจุทางรถไฟ ช่วงหัวหมาก-ฉะเชิงเทรา-ศรีราชา และโครงการรถไฟทางคู่ ช่วงศรีราชา-มาบตาพุด การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เปิดเผยถึงการพัฒนาระบบรางเพื่อเพิ่มศักยภาพการขนส่งในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ว่า โครงการรถไฟทางคู่ในภาคตะวันออกนี้ จะเชื่อมท่าเรือที่สำคัญใน อีอีซี 3 ท่าเรือ ได้แก่ -ท่าเรือมาบตาพุด - ท่าเรือแหลมฉบัง และ - ท่าเรือสัตหีบ ซึ่งเป็นท่าเรือหลักในการขนส่งสินค้าของประเทศ โดยเฉพาะท่าเรือแหลมฉบังมีสัดส่วนการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศสูงถึง 80% ของการขนส่งทั้งหมด ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการขยายท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3 และท่าเรือมาบตาพุด เฟส 3 ซึ่งจะทำให้มีปริมาณขนส่งสินค้าเพิ่มสูงขึ้นมาก
|
|||
ในเบื้องต้นแนวเส้นทางรถไฟจากหัวหมากถึงฉะเชิงเทราจะมีทางรถไฟ 3 ทาง จากฉะเชิงเทราถึงศรีราชา จะมีทางรถไฟทางคู่ 2 ทาง และระยะจากศรีราชาถึงมาบตาพุดจะมีทางรถไฟทางคู่ 1 ทาง ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนของสินค้า เนื่องจากการขนส่งทางรางมีต้นทุนต่ำกว่าการขนส่งทางถนนอยู่มาก “ท่าเรือแหลมฉบัง เฟส 3 จะเน้นการเพิ่มศักยภาพการขนส่งตู้คอนเทนเนอร์ ท่าเรือมาบตาพุด จะเน้นเป็นท่าเรือขนส่งก๊าซ และท่าเรือสัตหีบจะยกระดับไปสู่การเป็นท่าเรือท่องเที่ยวที่ทันสมัย รองรับเรือสำราญขนาดใหญ่ และเรือเฟอร์รี่ โดยเส้นทางรถไฟจะเข้าไปช่วยขนส่งคน และสินค้าไปยังทุกที่ทั่วประเทศ” โดยโครงการนี้ รัฐบาลได้อนุมัติงบประมาณ 145 ล้านบาท ในการจ้างบริษัทที่ปรึกษาเข้ามาศึกษาความเหมาะสมของโครงการ จะใช้เวลา 6 เดือน จะแล้วเสร็จในเดือนมี.ค.2562 ซึ่งจะมีรายละเอียดของงบการลงทุนทั้งหมด รูปแบบการลงทุน และการพัฒนาพื้นที่โดยรอบสถานีรถไฟ หากผลการศึกษาพบว่าโครงการมีความเหมาะสมก็จะเข้าสู่ขั้นตอนการออกแบบก่อสร้างในรายละเอียดใช้เวลาประมาณ 6 เดือน จะนั้นจะเสนอให้รัฐบาลพิจารณาเพื่ออนุมัติงบประมาณ ซึ่งหากรัฐบาลเห็นชอบก็จะใช้เวลาก่อสร้างประมาณ 3 ปี ก็จะแล้วเสร็จใกล้เคียงกับโครงการโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ สำหรับ แนวคิดการพัฒนาโครงข่ายคมนาคมขนส่งในพื้นที่ อีอีซี จะมีอยู่ 5 ด้าน ได้แก่ ในส่วนของโครงข่ายการคมนาคมระบบรางในพื้นที่ อีอีซี จะมี 3 ระบบ ได้แก่ โดยระบบรถไฟฟ้าชานเมืองจะเชื่อมโยงการเดินทางจากกรุงเทพฯสู่ปริมณฑล เป็นหนึ่งในโครงการส่งเสริมการเดินทางและการขนส่งเชื่อมโยงไปยังพื้นที่ อีอีซี โดยเชื่อมต่อระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนในกรุงเทพฯ กับระบบรถไฟฟ้าชานเมือง และขยายแนวเส้นทางรถไฟต่อไปยัง 4 จังหวัดคือ พระนครศรีอยุธยา, ฉะเชิงเทรา, นครปฐม และจ.สมุทรปราการ โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน เป็นโครงการสำคัญเพื่อสร้างโครงข่ายคมนาคมในพื้นที่ อีอีซี ให้สมบูรณ์ โดยรถไฟความเร็วสูงสามารถเดินทางจากสถานีระยองเข้าถึงสถานีสุวรรณภูมิ สถานีบางซื่อ และสถานีดอนเมืองได้โดยตรง ช่วยลดระยะเวลาในการเดินทางจากกรุงเทพฯ-ระยอง และเชื่อมต่อการเดินทางระหว่างสนามบินดอนเมือง สุวรรณภูมิ และอู่ตะเภาอย่างไร้รอยต่อ ซึ่งในเส้นทางรถไฟความเร็วสูงนี้จะมี 9 สถานี ได้แก่ สถานีดอนเมือง, บางซื่อ, มักกะสัน, สุวรรณภูมิ, ฉะเชิงเทรา, ชลบุรี, ศรีราชา, พัทยา และสถานีอู่ตะเภา โครงการรถไฟทางคู่ จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งทางรางส่งเรือ ซึ่งจะศึกษาความเหมาะสม ออกแบบรายละเอียด และศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม ของโครงการรถไฟทางคู่ช่วงหัวหมาก-ฉะเชิงเทรา สถานีชุมทางศรีราชา-มาบตาพุด และชุมทางศรีราชา-สัตหีบ ซึ่งจะเป็นการปรับปรุงทางรถไฟเดิม ปรับปรุงระบบอาณัตสัญญาณ และแก้ไขจุดตัดทางผ่าน ช่วงหัวหมาก-สถานีชุมทางศรีราชา ระยะทางประมาณ 115 กม. เพิ่มเส้นทางรถไฟช่วงหัวหมาก-ฉะเชิงเทรา ระยะทาง 46 กม. ก่อสร้างทางคู่ ช่วงชุมทางศรีราชา-ชุมทางเขาชีจรรย์-มาบตาพุด และชุมทางเขาชีจรรย์-สัตหีบ ก่อสร้างทางเลี่ยงเมืองบริเวณชุมทางศรีราชา และชุมทางเขาชีจรรย์ ระยะทาง 85 กม. นอกจากนี้ จะศึกษาการพัฒนาที่ดินโดยรอบสถานีรถไฟฟ้า เพื่อสร้างรายได้เชิงพาณิชย์ มีพื้นที่ศึกษา 500 เมตร-1 กม. รอบสถานีรถไฟ ซึ่งผลการศึกษาจะเสนอแนวทางออกแบบเบื้องต้น และประมาณราคาต้นทุนการพัฒนา ในเขตที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย โดยในพื้นที่นิ้จะประกอบด้วยย่านการค้าเพื่อเชื่อมต่อการเดินทาง ต้องมีพื้นที่สาธารณะเพียงพอตอบสนองการใช้งาน ซึ่งจะมีย่างการค้าเกาะตัวไปตามแนวแกนเชื่อมต่อหลัง และรอง หรือสถานีเชื่อมต่อการขนส่งโดยรอบ ย่านการขนส่งสินค้าต้องสอดคล้องกับประเภท รูปแบบ และปริมาณการขนส่งสินค้า |