IFTF แนะคนไทยพัฒนาทักษะอยู่ร่วมกับ AI
|
|||
แหล่งที่มา : www.thansettakij.com | วันที่โพสต์ : 18 ต.ค. 2561 | ||
IFTF แนะคนไทยพัฒนาทักษะอยู่ร่วมกับ AI | |||
IFTF แนะไทย พัฒนาทักษะการอยู่ร่วมกับเทคโนโลยีอย่างเป็นมิตร พร้อมเรียนรู้การใช้งาน และนำบิ๊กดาต้ามาวิเคราะห์ และสร้างโอกาสเพิ่มมูลค่าให้กับข้อมูลที่มีอยู่ในมือ นายฌอน เนส ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจสถาบันเพื่ออนาคต (Institute for the Future - IFTF) สหรัฐอเมริกา สถาบันกลุ่มวิจัยอิสระที่ไม่หวังผลกำไร เปิดเผยว่า สิ่งที่สถาบันฯ ดำเนินการคือ การคาดการณ์แนวโน้ม หรือสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต โดยใช้การสังเกตและติดตามข้อมูลจากสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัว โดยดูจากอิทธิพลของเทคโนโลยีในทุกๆ ด้านที่มีต่อมนุษย์ ควบคู่กับพฤติกรรมที่คนตอบสนองต่อกระแสเทคโนโลยีนั้นๆ ในอนาคต ควรให้ความสำคัญกับคุณค่าของมนุษย์ เพราะมนุษย์สำคัญกว่าเทคโนโลยี แม้ว่าเทคโนโลยีต่างๆ ที่ถูกพัฒนาขึ้น จะมาช่วยทำงานแทนมนุษย์ แต่เทคโนโลยีนั้น เป็นเพียงอีกเครื่องมือหนึ่งที่ถูกคิดค้นขึ้นมา เพื่อสร้างความสะดวกสบาย เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานต่างๆ ให้กับมนุษย์เท่านั้น อย่างไรก็ตาม เราสามารถเตรียมความพร้อมให้กับตัวเองได้ด้วยการพัฒนาทักษะสำคัญติดตัวไว้ โดย ในด้าน Hard Skills หากรู้วิธีรับมือกับหุ่นยนต์ หรือรู้วิธีการสร้างหรือระบบปฏิบัติการของหุ่นยนต์ ย่อมมีความได้เปรียบกว่า และในด้าน Soft Skills มองว่าทักษะการเจรจาต่อรอง (Negotiation) และการเอาใจเขามาใส่ใจเรา (Empathy) จะเป็น 2 ทักษะสำคัญที่หุ่นยนต์ไม่สามารถทำได้เท่าเทียมกับมนุษย์อย่างเรา เพราะสุดท้ายแล้ว มนุษย์ยังชอบพูดคุย และมีบทสนทนาระหว่างกันมากกว่าสื่อสารกับหุ่นยนต์ ปัจจุบันหลายประเทศได้ใช้นำหลักการมองภาพอนาคต (Foresight) มาเป็นเทคนิคในการวางแผนระยะยาวที่สามารถนำมาใช้ในทุกๆ ระดับตั้งแต่ระดับองค์กร รวมถึงได้ให้ความสำคัญกับการนำวิธีการมองภาพอนาคตมาใช้ในการวางนโยบายของประเทศ ซึ่งเป็นกระบวนการที่ดำเนินอย่างเป็นระบบในการมองไปในอนาคตของวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี เศรษฐกิจและสังคม เพื่อการส่งเสริมให้เอื้อประโยชน์สูงสุดแก่เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยกระบวนการนี้ได้รับการยอมรับในหลายประเทศว่า เป็นวิธีการที่มุ่งเน้นความพยายาม ของชุมชนชาววิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ที่จะนำไปสู่การสร้างมูลค่า (Value Creation) และการยกระดับคุณภาพชีวิตซึ่งจะแตกต่างจากการทำนาย (Forecast) ที่สันนิษฐานอนาคตเพียงรูปแบบเดียว สมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA) โดยกลุ่มบริหารเทคโนโลยีและนวัตกรรม Technology Innovation Management Group – TIMG) จัดงาน Outstanding Technologist Awards and STI Forum 2018 ขึ้นเป็นปีที่ 4 ภายใต้หัวข้อหลัก “Future Thinking” โดย ฌอน เนส ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจสถาบันเพื่ออนาคต (Institute for the Future - IFTF) สหรัฐอเมริกา เป็นสถาบันกลุ่มวิจัยอิสระที่ไม่หวังผลกำไร ที่ค้นคว้าข้อมูลในอนาคต ช่วยให้ภาครัฐและภาคธุรกิจต่างๆ สามารถวางแผนและเตรียมพร้อมสำหรับอนาคตที่ดีขึ้น โดยภารกิจของ IFTF คือ การเป็นผู้นำด้านความคิดให้กับหน่วยงานองค์กรต่างๆ ได้วางแผนเชิงกลยุทธ์สำหรับอนาคต ศึกษาข้อมูลเพื่อคาดการณ์สิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต นำมาวิเคราะห์ธุรกิจ เพื่อพัฒนาองค์กรไปในทิศทางที่เหมาะสม โดยสถาบันฯ มีประสบการณ์ด้านการมองอนาคต มากว่า 50 ปี รวมถึงเทรนด์ด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม เช่น การตลาดเซลล์สมองมนุษย์ (Neuromarketing) ความปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cyber Security) เป็นต้น ภายในงานรวบรวมเอามุมมองของนักคิดและวิเคราะห์เชิงปฏิบัติที่ช่วยประยุกต์และตอบโจทย์การพัฒนาองค์กรได้จริง ในขณะเดียวกันการพัฒนาเทคโนโลยีในยุคปัจจุบันเพิ่มขึ้นสูงมาก ทำให้ประเทศไทยอยู่ในสภาพที่ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศและขาดอำนาจการต่อรอง จึงจำเป็นต้องกระตุ้นการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อลดปัญหาของประเทศ ทีเอ็มเอ (TMA) จึงร่วมกับ มูลนิธิส่งเสริมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในพระบรมราชูปถัมภ์ ระดมทีมคณะกรรมการเฟ้นหา “นักเทคโนโลยีดีเด่น” และ “นักเทคโนโลยีรุ่นใหม่” เพื่อคัดสรรนักเทคโนโลยีไทยที่มีผลงานโดดเด่นด้านการพัฒนาเทคโนโลยีมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งได้คำนึงถึงศักยภาพและความสามารถในการสร้างและพัฒนาเทคโนโลยี ที่สามารถนำไปใช้ในทางปฏิบัติหรือเชิงพาณิชย์ที่สอดคล้องกับความต้องการของภาคอุตสาหกรรม นายสัตวแพทย์ รุจเวทย์ ทหารแกล้ว ประธานกรรมการ รางวัลนักเทคโนโลยีดีเด่น มูลนิธิส่งเสริมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กล่าวว่า ปีนี้ มีผู้สนใจส่งผลงาน “นักเทคโนโลยีดีเด่น” กว่า 28 โครงการ และผลงานของ “นักเทคโนโลยีรุ่นใหม่” 35 โครงการ ซึ่งได้คัดเลือกผลงานที่มีความโดดเด่น และเข้ารอบสุดท้าย รวม 6 ผลงาน แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ “นักเทคโนโลยีดีเด่น” เข้ารอบ 4 ผลงาน ได้แก่ 1.ระบบควบคุมแรงดันของเครื่องกำเนิดไฟฟ้าแบบ Redundancy Fully Redundancy EGAT-AVR, 2.เทคโนโลยีวิศวกรรมถนนและขนส่งที่ยั่งยืนเพื่อยกระดับความปลอดภัยของโครงข่ายถนนและสนับสนุนแผนปฏิรูปเศรษฐกิจของประเทศ, 3.เทคโนโลยีระบบอัตโนมัติ 4.เทคโนโลยีการผลิตพลาสติกชีวภาพดูดซึมได้คุณภาพสูงสำหรับเครื่องมือแพทย์ ในส่วนของ “นักเทคโนโลยีรุ่นใหม่” เข้ารอบ 2 ผลงาน ได้แก่ 1.เอนอีซ เอนไซม์อัจฉริยะเพื่อกระบวนการการผลิตสิ่งทอที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และ 2.การสังเคราะห์ซิลิกาแอโรเจลชนิดทรงกลม โดยล้วนเป็นผลงานของนักเทคโนโลยีไทยที่มีผลงานโดดเด่นด้านการวิจัยและพัฒนาที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ และเหมาะสำหรับเชิดชูเกียรติและเป็นกำลังใจให้กับนักวิจัยที่มีความมานะ อุตสาหะให้กับการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมของไทยให้สามารถแข่งขันในเชิงอุตสาหกรรมและเชิงพาณิชย์ในระดับประเทศและระดับนานาชาติ |