จุดสูงสุดความต้องการน้ำมันโลกอยู่ปีไหน ?

 
แหล่งที่มา : www.facebook.com/suttichai.taksanun/posts/2114370578596090
วันที่โพสต์ :  29 ก.ค. 2561
       
จุดสูงสุดความต้องการน้ำมันโลกอยู่ปีไหน ? 

IMAGE SOURCE: GETTY IMAGES
Wood Mackenzie ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษาชื่อดังในอุตสาหกรรมพลังงาน ได้ออกมาวิเคราะห์ถึงอนาคตของน้ำมันในช่วงกลางเดือนกรกฎาคม 2018 ว่า Peak Oil Demand หรือจุดสูงสุดของความต้องการใช้น้ำมันโลกจะอยู่ในช่วงปี 2036 ซึ่งหมายความว่าหลังจากนั้นทั่วโลกจะใช้น้ำมันน้อยลงเรื่อยๆ

บริษัทที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมน้ำมันหลายแห่งได้วางแผนเตรียมรับมือการเปลี่ยนแปลงแล้ว แต่ก็มียักษ์ใหญ่ในวงการน้ำมันและรถยนต์อีกหลายแห่งไม่เห็นด้วยกับการคาดคะเนการล่มสลายของน้ำมัน และมองว่าเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ หรือไม่มีวันเกิดขึ้นในชั่วชีวิตนี้

หัวหน้าทีมวิจัยของ Wood Mackenzie บอกว่า “ลูกค้าของเราจำนวนมากตระหนักดีว่า Peak Oil Demand เป็นเรื่องจริง ปัญหามีเพียงว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่?”

ถ้าพิจารณาจากประเทศต่างๆที่ประกาศแบนรถใช้น้ำมัน ก็มั่นใจได้เลยว่าอนาคตของน้ำมันกำลังอยู่ในช่วงขาลงแน่ๆ

รัฐบาลหลายประเทศกำหนดการแบนรถใช้น้ำมันแล้ว เช่น นอร์เวย์ 2025, เนเธอร์แลนด์ 2025, อินเดีย 2030, สหราชอาณาจักร 2040, ฝรั่งเศส 2040

เยอรมันอยู่ระหว่างการเสนอกฎหมายแบนไม่ให้ขายรถไอซีอีตั้งแต่ปี 2030 แต่มีแรงต่อต้านจากอุตสาหกรรมรถยนต์และน้ำมันซึ่งมีส่วนได้ส่วนเสียอยู่มาก ยังไม่แน่ชัดว่าผลสุดท้ายจะแบนรถใช้น้ำมันปีไหนแน่

รัฐบาลจีนซึ่งเป็นตลาดรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก กำลังสนับสนุนรถอีวีเต็มที่ ปี 2018 มีเป้าหมายขายรถอีวีในประเทศจีนให้ได้ไม่ต่ำกว่า 1 ล้านคัน ขณะนี้กำลังพิจารณาว่าจะเลิกขายรถที่เป็นเครื่องยนต์สันดาปภายในที่ใช้น้ำมันแบบเก่าทั้งหมดเมื่อไร แต่มีแนวโน้มว่าน่าจะเป็นปี 2030

ส่วนสหรัฐอเมริกา เคยมีทิศทางสนับสนุนโลกสีเขียวมานาน แต่พอเข้าถึงยุคของ โดนัลด์ ทรัมป์ นโยบายพลิกใหม่หมด สหรัฐอเมริกาถอนตัวจากข้อตกลงกรุงปารีส เริ่มมีการสนับสนุนอุตสาหกรรมน้ำมันและถ่านหินเพิ่มขึ้น แม้รัฐบาลกลางไม่มีนโยบายสนับสนุนรถอีวี แต่รัฐบาลท้องถิ่นของหลายรัฐยังคงยึดถือข้อตกลงกรุงปารีส และมีแผนสนับสนุนโลกสีเขียวต่อไป นอกเหนือจากนั้น อเมริกายังเป็นฐานที่ตั้งของ เทสล่า ซึ่งเป็นบริษัทที่ได้รับการยอมรับเรื่องยานยนต์ไฟฟ้า 100% มากที่สุดในโลก มีประชาชนสนใจซื้อรถของ เทสล่า จำนวนมาก 

แม้ว่าประเทศใหญ่ๆหรือประเทศที่เจริญแล้วจะมีกำหนดการหันหลังให้กับน้ำมันที่สร้างมลพิษกันอย่างชัดเจน แต่บริษัทน้ำมันและโรงงานรถยนต์จำนวนมาก ยังมีความหวังสูงที่จะขายรถยนต์ไอซีอีและน้ำมันไปอีกนานในประเทศด้อยพัฒนาซึ่งรวมถึงประเทศไทยด้วย เพราะมั่นใจว่าคงเปลี่ยนผ่านไปใช้รถอีวีได้ลำบากหรือช้ามากๆ และจะทำให้พวกเขามีโอกาสกอบโกยเงินไปได้อีกนาน

บริษัทน้ำมันที่เริ่มปรับทิศทางออกจากอุตสาหกรรมน้ำมันอย่างชัดเจน คือ เชลล์ ทางบริษัทมีการขยายการลงทุนในอุตสาหกรรมอื่นเพิ่มขึ้นซึ่งรวมถึงธุรกิจสีเขียวด้วย เมื่อเร็วๆนี้ซีอีโอ เชลล์ ออกมาให้สัมภาษณ์ทางทีวีโดยพูดด้วยตัวเองว่า รถคันต่อไปที่เขาจะซื้อมาใช้เป็นรถอีวี และในปัจจุบันเขาเริ่มใช้รถเบนซ์ที่เป็นรถอีวีแล้ว

แต่ยักษ์ใหญ่น้ำมันอย่าง เอ็กซอนโมบิล และ ซาอุดิ อารามโค ไม่เห็นด้วยว่าอุตสาหกรรมน้ำมันจะถดถอยลงภายในยี่สิบปีข้างหน้า และมองว่าโอกาสการเติบโตของน้ำมันยังคงมีต่อเนื่องไปอีกนาน

IMAGE SOURCE: GETTY IMAGES
อารามโค เป็นบริษัทน้ำมันแห่งชาติของซาอุดิอาระเบีย เป็นผู้ขายน้ำมันรายใหญ่ที่สุดในโลก มีการประเมินว่า 1 ใน 8 ของน้ำมันที่มีการใช้อยู่ในปัจจุบันทั่วโลกเป็นของ อารามโค แม้ว่าจะไม่เชื่อว่าการสิ้นสุดของน้ำมันจะมาเร็วอย่างที่ใครๆคาดกัน แต่ซาอุดิอาระเบียเตรียมการทั้งรุกและรับเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว

การลงทุนของประเทศซาอุดิอาระเบียในช่วงหลายปีมานี้ ได้หันเหไปจากอุตสาหกรรมน้ำมันที่เป็นแหล่งรายได้หลักของประเทศมานาน ไม่มีการลงทุนอะไรใหญ่ๆในอุตสาหกรรมน้ำมัน

แต่ช่วงนี้ ซาอุดิ อารามโค มีข่าวว่ากำลังทำงานอย่างหนักเพื่อพยายามต่ออายุอุตสาหกรรมน้ำมัน มีการว่าจ้างวิศวกรมากกว่า 30 คน ทำงานอยู่ในดีทร้อยท์ ทำการวิจัยพัฒนาเครื่องยนต์ ICE หรือ Internal Combustion Engine เพื่อหาทางสร้างเครื่องยนต์ที่เผาผลาญน้ำมันน้อยลง ปล่อยคาร์บอนน้อยลง เมื่อเดือนมกราคม 2018 อารามโคไปออกงาน Detroit Auto Show เอาเทคโนโลยีเครื่องยนต์ที่บอกว่าเป็น Clean ICE ไปแสดงในงาน

น้ำมันที่ขายได้อยู่ในปัจจุบัน เกือบครึ่งหนึ่งเอาไปใช้สำหรับรถยนต์ ซึ่งรวมทั้งรถโดยสารและรถขนส่งต่างๆ ถ้าทั่วโลกมีการใช้รถอีวีมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง อุตสาหกรรมน้ำมันมันต้องต่ำเตี้ยลงหรือล่มสลายอย่างไม่ต้องสงสัย

นอกจากรถอีวีที่จะทำให้น้ำมันขายได้น้อยลงแล้ว รถไร้คนขับในรูปแบบของ Robo-Taxi เป็นอีกตัวเร่งสำคัญที่จะทำให้มีการใช้รถส่วนตัวน้อยลง เพราะแท็กซี่แบบไร้คนขับถูกกว่าการใช้รถส่วนตัวมากกว่า 10 เท่า 

รถไร้คนขับทุกชนิดที่มีการพัฒนาระบบกันอยู่เป็นรถอีวีที่ใช้ไฟฟ้า 100% ขณะนี้หลายบริษัทในหลายประเทศกำลังทดลองระบบอยู่ และคาดว่าภายในปี 2019 หรือ 2020 จะได้เห็นรถไร้คนขับออกใช้อย่างเป็นทางการในหลายประเทศ

นอกจาก Wood Mackenzie ที่คาดการณ์ว่าจุดสูงสุดของความต้องการน้ำมันโลกจะอยู่ในปี 2036 ก่อนหน้านี้มีสำนักอื่นๆออกมาคาดการณ์ที่แตกต่างออกไป 

Morgan Stanley สถาบันการเงินรายใหญ่ของโลกวิเคราะห์ว่า Peak Oil Demand อยู่ในช่วงกลางทศวรรษที่ 2030S

การวิจัยของ HIS Markit รายงานว่า ภายในปี 2040 รถใหม่ที่ขายได้ทั่วทั่วโลก 30% จะเป็นรถอีวี โดยมีจุดเริ่มต้นจากตัวเลขเพียง 1% ในปัจจุบัน... ในปี 2017 มีรถอีวีวิ่งอยู่บนถนน 2.8 ล้านคัน แต่มีรถใช้น้ำมันวิ่งอยู่ 1,500 ล้านคัน และภายในปี 2025 จะมีรถอีวีวิ่งบนถนนมากถึง 36 ล้านคัน ทั่วโลกคงมีการลดการใช้น้ำมันลงอย่างชัดเจนภายในปี 2040

Bank of America Merrill Lynch คาดการณ์ว่าอุตสาหกรรมน้ำมันยังคงแข็งแรงและเติบโตอย่างต่อเนื่องจนถึงปี 2020 และการเติบโตจะลดลงอย่างชัดเจนและรวดเร็วมากในปี 2021 – 2023

ประธานของ Tudor, Pickering, Holt and Co and CIO ประเมินว่ารถอีวีและบริการรถแบ่งกันใช้จะสร้างปรากฏการครั้งใหญ่ทำให้ความต้องการใช้น้ำมันในโลกลดลงช่วงปี 2035 

คนดังที่ประเมินเรื่อง Peak Oil Demand ไว้น่าตกใจที่สุด คือ โทนี่ เซบา อาจารย์จากสแตนฟอร์ด ผู้เขียนหนังสือ Clean Disruption ซึ่งศึกษาวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีพลังงานสะอาดและยานยนต์ไฟฟ้ามาอย่างต่อเนื่อง คาดการณ์ว่าจุดสูงสุดของความต้องการน้ำมันโลกอยู่ในปี 2020 และบอกว่า ภายในปี 2025 รถทุกคันที่ออกขายในโลกจะเป็นรถอีวี

อยากเห็นรถอีวีเข้ามาทดแทนรถยนต์ที่ใช้น้ำมันแบบเก่าเร็วๆ ดูจากการคาดการณ์ของหลายสำนักก็พอจะมองเห็นอนาคตที่ดีขึ้นของสิ่งแวดล้อมโลก แต่ยังมีเรื่องน่าเศร้าว่าประเทศด้อยพัฒนาซึ่งรวมถึงประเทศไทยด้วย คงต้องอยู่กับน้ำมันที่เป็นมลพิษนานกว่าที่อื่น....

https://www.fool.com/…/peak-oil-demand-could-be-less-than-2…

https://www.cnbc.com/…/soon-electric-vehicles-could-cause-a…

https://www.freep.com/…/…/02/18/detroit-green-gas/337830002/

https://www.forbes.com/…/electric-car-sales-are-surging-i…/…

https://qz.com/…/self-driving-electric-cars-will-bring-abo…/
Visitors: 630,145