หน้าใหม่

 
แหล่งที่มา : www.thansettakij.com วันที่โพสต์ :  14 ก.พ. 2561
เศรษฐกิจดิจิตอล...? 
ในขณะที่รัฐบาลประกาศเป็นวาระแห่งชาติว่าจะยกระดับการพัฒนาประเทศไทยให้ก้าวขึ้นไปสู่ไทยแลนด์ 4.0 เพื่อเดินเข้าสู่เศรษฐกิจดิจิตอลที่จะมีเทคโนโลยีเข้ามาเชื่อมต่อโลกการค้าในอนาคตอย่างไม่มีพรมแดนอีกต่อไป

แพลตฟอร์มโลกการค้าดิจิตอลไม่ได้จำกัดวงแคบอยู่เพียงแค่การค้าขาย การแลกเปลี่ยนสินค้า แบบอี-คอมเมิร์ซ เว็บไซต์ คิวอาร์โค้ดเท่านั้น หากแต่การชำระเงิน การระดมทุนในโลกดิจิตอลก็แปรเปลี่ยนมาเป็นเงินสกุลดิจิตอล ที่ถูกสร้างขึ้นมาอย่างหลากหลาย ซึ่งนั่นหมายถึงว่าหน่วยงานที่กำกับดูแลด้านการเงิน การระดมทุน การซื้อขายตราสารหนี้ จะต้องมีการปรับตัวให้ทันกับโลกการค้าในยุคดิจิตอลกันขนานใหญ่ แต่ดูเหมือนประเทศไทย ไม่ได้เดินไปตามแนวนโยบายแห่งรัฐอย่างเป็นเนื้อเดียวกัน แต่ละองค์กรต่างมีพรมแดนแห่งความคิดและแนวปฏิบัติที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง เกิดความสับสนในทางปฏิบัติอย่างเห็นได้ชัด

ขณะที่ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์  เปิดทางให้บริษัทจำกัด (มหาชน) เปิดให้นักลงทุนสามารถซื้อขายคริปโตเคอร์เรนซี (Cryptocurrency) บิตคอยน์ฟิวเจอร์สอย่างเป็นทางการ

คล้อยหลังไม่นานตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ก็เปิดให้บริษัทลูกของบริษัท เจมาร์ท จำกัด (มหาชน) เปิดระดมทุนด้วยดิจิตอลโทเคน“JFin Coin” 300 ล้านเหรียญหน่วยละ6.6บาท โดยโยนความเสี่ยงไปให้ลูกค้าทำการศึกษาผลิตภัณฑ์ หากไม่เข้าใจก็ควรหลีกเลี่ยงการลงทุน


ล่าสุดธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ออกประกาศขอความร่วมมือสถาบันการเงินทุกแห่ง ไม่ให้ทำธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับคริปโตเคอร์เรนซี หรือสกุลเงินดิจิตอล โดยห้ามการมีส่วนร่วม หรือสนับสนุนการเข้าไปลงทุน หรือซื้อขายคริปโตเคอร์เรนซี ห้ามร่วมสร้างแพลตฟอร์ม เพื่อเป็นสื่อกลางให้ลูกค้าทำธุรกรรม ห้ามทำธุรกรรมผ่านบัตรเครดิตในการซื้อคริปโตเคอร์เรนซี ห้ามสถาบันการเงินสนับสนุน หรือให้คำปรึกษากับลูกค้าเกี่ยวกับการลงทุน หรือแลกเปลี่ยน 
   
ธปท.ต้องออกประกาศนี้ เพราะสถานการณ์ปัจจุบันเกิดเงินสกุลดิจิตอลหลายร้อยสกุล บางประเภท ไม่สามารถระบุผู้ออกได้ชัดเจน ไม่มีสินทรัพย์ค้ำประกันตามมูลค่า ไม่มีสินทรัพย์อ้างอิง ไม่สามารถเปลี่ยนเป็นเงินที่ใช้ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย ในไทยยังไม่มีคุณสมบัติเป็นเงินที่ใช้ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย

โรดแมปเศรษฐกิจดิจิตอลที่รัฐบาลประกาศไว้จึงสับสนอลหม่าน ถึงเวลาที่หน่วยงานที่กับดูแลจะต้องมานั่งพูดคุยหารือกำหนดแนวทางปฏิบัติให้เป็นแบบเดียวกันก่อนที่ภาคเอกชนจะเกิดความเสียหาย เสียโอกาสทางการค้ามากกว่านี้
   
ขอบคุณข่าวจาก : thansettakij.com
 
Visitors: 631,157