สรุปโดยรวม
มาตรการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอื่นๆที่มีใช้ในต่างประเทศนั้น
นอกจากมาตรการด้านภาษีแล้วมาตรการบังคับอีกมาตรการหนึ่งคือ มาตรการจัดสรรสิทธิการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและอนุญาตให้มีการซื้อขายสิทธิดังกล่าวได้
หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า Cap-and-Trade System หรือ Emission
Trading Scheme โดยภาครัฐมีบทบาทในการกำหนดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกระดับประเทศ
(หรือระดับสาขาการผลิต) การจัดสรรสิทธิการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้แก่แหล่งกำเนิดก๊าซฯ
และกำหนดบทลงโทษหากแหล่งกำเนิดนั้นปล่อยก๊าซฯ มากกว่าสิทธิที่ได้รับหรือที่ถือครองอยู่
นอกจากนี้ ยังมีมาตรการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกประเภทสมัครใจ (voluntary measures) ซึ่งหมายถึง การลดก๊าซเรือนกระจกที่ไม่มีกฎบังคับ หรือกำหนดระยะเวลา เป็นความสมัครใจขององค์กร ที่จะช่วยบรรเทาหรือลดปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ในการดำเนินการลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างสมัครใจจะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อผู้ปฏิบัติและต่อสภาพแวดล้อมหรือต่อสังคม
อย่างน้อย 6 ประการ [นิรมล สุธรรมกิจ, 2552] ได้แก่
(ก)
ผู้ดำเนินการจะมีความรู้สึกว่ามีส่วนร่วมในการช่วยลดก๊าซเรือนกระจก
ในกระแสการรณรงค์เพื่อลดปัญหา
โลกร้อน และภายใต้การตระหนักถึงปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
(ข) กระตุ้นให้เกิดการร่วมมือกันของประชาชนและภาคธุรกิจเอกชนต่างๆได้ในวงกว้าง
(ค) สามารถสร้างภาพพจน์ที่ดี (goodwill) ให้แก่ผู้ดำเนินการได้
(ง) กิจกรรม VER บางประเภทสามารถบรรลุวัตถุประสงค์เพื่อปฏิบัติตามข้อสัญญา
(commitment) เรื่อง Corporate Social Responsibility (CSR) ได้ เช่น การปลูกต้นไม้เพื่อช่วยดูดซับก๊าซเรือนกระจกในชั้น บรรยากาศ การสนับสนุนทางการเงินในการปลูกป่าชุมชนเพื่อส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืนในชุมชน
และสามารถช่วยลดปัญหาภาวะเรือนกระจกของโลกได้ด้วย เป็นต้น
(จ) กิจกรรม VER บางประเภทสามารถนำไปสู่การดำเนินธุรกิจแบบ
carbon neutral 2 และ/หรือขายผลิตภัณฑ์คาร์บอนที่เป็น
neutral (carbon neutral products)3 ซึ่งอาจจูงใจให้ผู้บริโภคสินค้าหันมาสนับสนุนกิจกรรมที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกผ่านการซื้อผลิตภัณฑ์ประเภทนี้
และ
(ฉ) กิจกรรม VER บางประเภทอาจสามารถเป็นมาตรการหนึ่งในการบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจกภายในประเทศ
ถ้ากิจกรiมนั้นได้มีการจดบันทึกกิจกรรมอย่างถูกต้องตามหลักวิชาการ
ซึ่งนอกจากจะช่วยสังคมในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกแล้ว ยังเป็นการช่วยลดต้นทุนการบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจกของภาครัฐได้อีกด้วย
มาตรการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างสมัครใจมีอยู่ด้วยกันหลายรูปแบบ [นิรมล สุธรรมกิจ,2552] ได้แก่
(1)
การประหยัดพลังงานในภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจ
การดำเนินการดังกล่าวนี้ต้องเกิดจากความสมัครใจของครัวเรือนและหน่วยธุรกิจในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการใช้พลังงาน
เช่น ไฟฟ้า น้ำมันเชื้อเพลิงในการใช้ยานพาหนะ ตลอดจนการตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าที่เน้นประหยัดพลังงานหรือ
การเลือกซื้ออาคารที่มีการออกแบบอาคารเพื่อประหยัดพลังงาน
(2)
การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ (energy efficiency) ในภาคการขนส่งและภาคการผลิต
เป็นมาตรการนี้ได้รับความสนใจจากภาคขนส่งและภาคการผลิตเป็นอย่างยิ่ง
เนื่องจากเป็นมาตรการที่สามารถช่วยประหยัดการใช้เชื้อเพลิงหรือลดรายจ่ายด้านพลังงาน (ไฟฟ้าและเชื้อเพลิง) ได้ในระยะยาวแม้ว่าอาจจะต้องมีการลงทุนปรับปรุงอุปกรณ์เครื่องจักรก็ตาม
(เช่น การติดตั้งอุปกรณ์ในเครื่องยนต์เพื่อลดการใช้น้ำมัน หรือเพื่อประหยัดน้ำมันในขณะจอดพักรถ)
โดยภาครัฐดำเนินการให้เงินอุดหนุนหรือจัดทำการวิจัยให้ภาคเอกชนในการพัฒนาผลิตภัณฑ์น้ำมันและเครื่องยนต์หรือเทคโนโลยี
การสร้างถนนเลี่ยงเมือง(เพื่อลดปัญหาการจราจรติดขัด) และ การลดหย่อนภาษีเงินได้ ถ้ามีการดัดแปลงเครื่องยนต์ตามที่รัฐสนับสนุน เป็นต้น
(3)
การใช้พลังงานหมุนเวียนหรือพลังงานทดแทน
เช่น พลังงานจากลม แสงอาทิตย์ ก๊าซชีวภาพ4 และเชื้อเพลิงชีวมวล และ เป็นมาตรการที่เกิดขึ้นอย่างสมัครใจ
แต่ต้องได้รับการอุดหนุนจากภาครัฐ (เช่น ในรูปแบบของ
Feed-in Tariff) มิเช่นนั้น กิจกรรมนี้คงเกิดขึ้นได้ยาก เนื่องจากเป็นกิจกรรมที่มีต้นทุนการผลิตพลังงานหมุนเวียนหรือพลังงานทดแทนที่สูงกว่าการใช้พลังงานดั้งเดิม
(ไฟฟ้าจากถ่านหิน หรือ พลังงานจากน้ำมันปิโตรเลียม)
(4)
การจัดทำกิจกรรมประเภท Carbon Offset ซึ่งหมายถึงกิจกรรมลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดขึ้นภายนอกโรงงานหรือบริษัท
ในขณะที่กิจกรรมภายในโรงงานหรือบริษัทยังคงดำเนินการเหมือนเดิม (หรือ ไม่สามารถลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้)
โดยส่วนใหญ่เป็นกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการปลูกต้นไม้ในพื้นที่ขนาดใหญ่
หรือการให้เงินอุดหนุนแก่หน่วยงานขององค์กรพัฒนาเอกชนหรือของรัฐในการป้องกันการตัดไม้ทำลายป่า
การปลูกป่าในพื้นที่ป่าเสื่อมโทรมหรือในพื้นที่ที่เคยเป็นป่ามาก่อนแต่ถูกทำลายไป หรือที่เรียกว่าการฟื้นฟูป่า
หรือ Reforestation (forestation of cleared land which was previously
forested) การปลูกป่าในพื้นที่ที่ไม่เคยเป็นป่ามาก่อน หรือที่เรียกว่า
Afforestation เป็นต้น
(5)
การติดฉลากคาร์บอน (carbon label)5
เป็นอีกมาตรการหนึ่งที่รัฐให้การส่งเสริม เพื่อให้เกิดความตระหนักรับรู้แก่ผู้บริโภคเกี่ยวกับ “ตัวเลข” ปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกระบวนการผลิต
(เช่น Carbon Footprint Label) หรือปริมาณการลดก๊าซเรือนกระจกระหว่างกระบวนการผลิต
(เช่น Carbon Reduction Label ) มาตรการฉลากคาร์บอนนี้6
เริ่มเป็นที่นิยมในประเทศยุโรป แม้ว่าในปัจจุบันนี้ ประเทศเหล่านั้นยังไม่มีการบังคับใช้มาตรการติดฉลากคาร์บอน
แต่ก็เริ่มมีบางประเทศที่มีแนวโน้มจะบังคับใช้กับบางผลิตภัณฑ์ เช่น ฝรั่งเศส มีแนวโน้มจะบังคับใช้กับผลิตภัณฑ์อาหารบางชนิด
ประเด็นที่น่าสังเกตอีกประการหนึ่งคือ
ประเทศกำลังพัฒนาหลายประเทศ ได้ดำริและเริ่มใช้มาตรการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกแบบสมัครใจ
แม้ว่าจะไม่มีพันธกรณีระหว่างประเทศ
(ตามกรอบของ พิธีสารเกียวโต) และได้พยายามขยายบทบาทของกลไกภายในประเทศให้มีความเชื่อมโยงกับกลไกของ
ประเทศอื่นๆมากขึ้น เช่น การจัดตั้งตลาดคาร์บอนของภาครัฐ ในประเทศอินเดีย และการได้รับทุนสนับสนุนการปลูกป่าจากแหล่งทุนภายนอกประเทศของเวียดนาม
เป็นต้น
สำหรับมาตรการด้านภาษีคาร์บอน นั้น แม้ว่าจะเป็นมาตรการเก่าแก่ ที่เกิดขึ้นมาบนพื้นฐานของการอนุรักษ์และปกป้องคุ้มครองสิ่งแวดล้อม อีกทั้งเพื่อเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้ใช้พลังงานเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน แต่ปรากฏว่า มาตรการด้านภาษีคาร์บอน ก็ยังไม่มีการใช้แพร่หลายเท่าใดนัก จนกระทั่งกระแสความตื่นตัวด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมีความรุนแรงมากขึ้น จนกระทั่งมีแนวคิดที่จะดำเนินมาตรการด้านภาษีคาร์บอนอย่างจริงจัง เพื่อหวังผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้ผลิตและผู้บริโภคให้หันไปในทิศทางที่คำนึงถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมมากขึ้น โดยใช้หลัก Polluter Pay Principle ซึ่งประเทศพัฒนาแล้วและประเทศกำลังพัฒนา บางประเทศกำลังศึกษาถึงความเป็นไปได้ในการจัดทำระบบภาษีคาร์บอนภายในประเทศ
*******************************************************************************************
2 ธุรกิจแบบ Carbon Neutral หมายถึง ธุรกิจที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจก จะลงทุนเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในแหล่งอื่นๆ แทนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภายในองค์กร ทั้งนี้ปริมาณการลดก๊าซเรือนกระจกในแห่งอื่นต้องเท่ากับปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของธุรกิจตน ซึ่งเปรียบเสมือนว่า ธุรกิจของตนนั้นปล่อยก๊าซเรือนกระจกเท่ากับ “ศูนย์” นั่นเอง
3 ผลิตภัณฑ์ประเภท carbon neutral product หมายถึง ผลิตภัณฑ์ที่มีกระบวนการผลิตที่ก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจก แต่ผู้ผลิตมีความสมัครใจที่จะดำเนินการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในกิจกรรมอื่นๆที่ไม่เกี่ยวข้องกับการผลิตสินค้านั้น เช่น การปลูกป่า หรือการลดระยะทางการขนส่งสินค้า ฯลฯ ทั้งนี้เพื่อให้ผลิตภัณฑ์นั้นมีลักษณะเป็น carbon neutral นั่นคือปริมาณการลดก๊าซเรือนกระจกในกิจกรรมอื่นมีค่าเท่ากับปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่กระบวนการผลิตปลดปล่อยออกมา
4 การใช้เชื้อเพลิงชีวภาพ (bio-fuel) เป็นการทำให้เกิด carbon neutral ได้ เนื่องจากว่า วัตถุดิบที่ใช้เป็นเชื้อเพลิงนั้นเป็นส่วนหนึ่งของวัฏจักรคาร์บอน กล่าวคือ เมื่อนำพืชมาใช้เป็นเชื้อเพลิงแล้ว ปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ที่ปล่อยออกมาจากการเผาไหม้เป็นพลังงานนั้นก็สามารถถูกดูดกลับเข้าไปไว้ในต้นพืชได้อีก โดยเฉพาะต้นพืชที่ปลูกทดแทนต้นที่เก็บเกี่ยวไปเป็นวัตถุดิบผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพ ดังนั้น การใช้เชื้อเพลิงชีวภาพ จึงเป็นการใช้ทรัพยากรแบบหมุนเวียน (renewable resources)
5 การติด “ฉลากคาร์บอน” เป็นการบ่งบอก “ตัวเลข” ให้ผู้บริโภคทราบว่า กระบวนการผลิตสินค้านั้นมีการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นเท่าใด ในปัจจุบันนี้ การระบุ “ตัวเลข” ที่ระบุในฉลากคาร์บอนมีเกณฑ์ที่แตกต่างกัน เช่น เกณฑ์แรก ฉลากคาร์บอนเป็นแบบ Carbon Footprint หรือ “ฉลากตามรอยคาร์บอน” นั้น ซึ่งเป็นการบ่งบอกปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งวัฏจักรชีวิตสินค้าเกณฑ์ที่สอง ฉลากคาร์บอนที่บ่งบอกระดับปริมาณลดลงของการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก (ปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ลดลงนั้นอาจจะมาจาก “ฐาน” การปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่แตกต่างกัน) เกณฑ์ที่สาม ฉลากคาร์บอนจะบ่งบอกอัตราการลด (ร้อยละ) ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจก