สหรัฐอเมริกา
ในปัจจุบันนี้พบว่า สหรัฐอเมริกาให้ความสำคัญกับความมั่นคงทางด้านพลังงานและการเพิ่มศักยภาพของพลังงานหมุนเวียนภายในประเทศ
นอกจากนี้ รัฐบาลท้องถิ่นมีการกำหนดมาตรการควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่แตกต่างกันออกไป
ตลอดจนภาคธุรกิจและภาคครัวเรือนให้ความสำคัญกับมาตรการสมัครใจประเภทฉลากคาร์บอนและกิจกรรมประเภท Carbon Offset (โดยเฉพาะกิจกรรมการปลูกป่า) ในอนาคต คาดว่า รัฐบาลกลางของสหรัฐอเมริกาจะมีมาตรการแบบบังคับในการควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
(โดยเริ่มต้นจากความริเริ่มของรัฐบาลท้องถิ่นในระดับมลรัฐ) มาตรการดังกล่าวข้างต้นนี้ สามารถสรุปพอสังเขปดังต่อไปนี้
มาตรการด้านพลังงานหมุนเวียนของสหรัฐอเมริกา
รัฐบาลของสหรัฐอเมริกา ทั้งระดับรัฐบาลกลาง
ระดับมลรัฐ และระดับท้องถิ่น ให้ความสำคัญกับนโยบายการสนับสนุนพลังงานหมุนเวียน นับตั้งแต่คริสต์ทศวรรษ 1970 โดยรัฐบาลกลางให้เงินทุนสนับสนุนการวิจัยและพัฒนา
เงินกู้ และการสนับสนุนทางการเงินประเภทอื่นๆ ได้แก่ การลดภาษีไฟฟ้าที่ผลิตจากพลังงานลม
พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานความร้อนใต้พิภพ และชีวมวล7
สำหรับในระดับมลรัฐนั้น ได้มีการดำเนินโครงการ Renewable Portfolio Standard (RPS) ซึ่งเป็นโครงการที่กำหนดสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในแต่ละมลรัฐ
โดยในปี ค.ศ.1998 มีมลรัฐที่เข้าร่วมโครงการ
3 มลรัฐ ได้แก่ มลรัฐเนวาด้า นิวเจอร์ซีย์ และคอนเน็คติคัต ต่อมาในปี
ค.ศ.2001 มีจำนวน 9 มลรัฐ และในปี ค.ศ. 2008 จำนวน
28 มลรัฐ ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 54 ของจำนวนมลรัฐทั้งหมดในประเทศสหรัฐอเมริกา
[Carley, 2009 และ Gan et al., 2007]
การผลิตพลังงานจากพลังงานหมุนเวียนในสหรัฐอเมริกามีการเจริญเติบโตเพิ่มสูงขึ้น
ซึ่งคาดว่าภายในปี ค.ศ.2030 สหรัฐอเมริกาจะสามารถผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลมได้ถึงร้อยละ 20 ของการผลิตไฟฟ้าทั้งหมดในประเทศ8 และ คาดว่าในปี ค.ศ.2025 พลังงานแสงอาทิตย์จะเป็นร้อยละ 10 ของความต้องการพลังงานทั้งหมดของประเทศ9 นอกจากนี้ ชาวอเมริกันมีการใช้
Biofuel เพิ่มมากขึ้น โดยมีการใช้เอทานอลเป็นเชื้อเพลิงประมาณร้อยละ
10 และผู้ผลิตรถยนต์หลายรายได้แก่ ฟอร์ด ไครส์เลอร์ และจีเอ็มได้ทำการผลิตรถยนต์ที่สามารถเพิ่มสัดส่วนการใช้เอทานอลได้มากขึ้น
มาตรการด้านฉลากคาร์บอนของสหรัฐอเมริกา
สหรัฐอเมริกามีการใช้มาตรการติดฉลากคาร์บอนฟุตพริ้นท์ซึ่งเป็นมาตรการแบบสมัครใจ
เช่นฉลาก “Climate Conscious” ซึ่งกำหนดเป็น
3 ระดับคือ (1) ฉลาก Silver คือปล่อยคาร์บอนต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 10-40% (2) ฉลาก
Gold คือปล่อยคาร์บอนต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 41-70% และ
(3) ฉลาก Platinum คือปล่อยคาร์บอนต่ำกว่าค่าเฉลี่ยมากกว่า
71% ซึ่งองค์กร Climate Conservancy ทำหน้าที่รับรองฉลากฯ
โดยมีบริษัทนำร่องคือ บริษัท Belgium Brewing ซึ่งเป็นบริษัทผลิตเบียร์
และบริษัท Earthbound Farm ซึ่งเป็นบริษัทที่ผลิตสินค้าอาหารที่ประกอบไปด้วยผักที่เป็น
Organic ฉลากดังกล่าวในรัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของร่างกฎหมาย
The Carbon Labeling Act of 2009 (AB19)
ส่วนฉลาก
“CarbonFree®” ในสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นการรับรองให้กับสินค้าที่มีโครงการช่วยลดก๊าซเรือนกระจกรวมอยู่ด้วย
ซึ่งเป็นฉลากชดเชยคาร์บอน (Type 4) โดยองค์กร Carbon
Fund เป็นองค์ที่ทำหน้าที่รับรองฉลากฯ และมีบริษัทเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มที่ดำเนินการติดฉลากฯ
เช่นน้ำตาล กาแฟ น้ำดื่ม เป็นต้น
นอกจากนี้ยังมีบริษัทอื่นๆที่ดำเนินการเกี่ยวกับฉลากลดคาร์บอน
เช่น บริษัท IBM Nike และ BP เป็นต้น ส่วนบริษัท Google Yahoo และ Dell ก็ได้ให้คำปฏิญาณว่าจะกลายเป็นบริษัทที่มี “Carbon Neutral” ในอนาคต [Rattanawan et al., 2010]
มาตรการด้านกิจกรรมการปลูกป่าของสหรัฐอเมริกา
ในด้านการรณรงค์เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภายในประเทศและของโลก
มาตรการหนึ่งที่ได้รับความนิยมเช่นกัน คือ การเพิ่มพื้นที่ป่าไม้ (Reforestation and Afforestation) หรือ การสนับสนุนการลดการทำลายป่าไม้
(REDD: Reduction of Deforestation and Forest Degradation) ผ่านกิจกรรมประเภท
Carbon Offsets โดยการรับซื้อ “คาร์บอนเครดิต”
จากโครงการที่ปลูกป่าหรืออนุรักษ์พื้นที่ป่าไม้(ไม่ว่าจะเป็นโครงการปลูกป่าในสหรัฐอเมริกาหรือในต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศกำลังพัฒนา)
ทั้งนี้โครงการปลูกป่าดังกล่าวจะต้องให้คำมั่นสัญญาว่าจะดำเนินการอนุรักษ์รักษาป่าไว้นานมากกว่า
20 ปี หรือภายในระยะเวลา 20 ปี อัตราการทำลายป่าจะต้องลดลงจนเท่ากับศูนย์
อย่างไรก็ดี “Carbon Offsets” ที่ได้จากโครงการปลูกป่าหรืออนุรักษ์พื้นที่ป่านี้
จะต้องมีความมั่นใจว่าเป็นโครงการที่มั่นคงถาวร (อายุนานมากกว่า
20 ปี) และสามารถตรวจวัดปริมาณคาร์บอนที่เก็บกักในต้นไม้ได้
มาตรการแบบบังคับโดยการกำหนดเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกของสหรัฐอเมริกา
แม้ว่าในระดับประเทศ
สหรัฐอเมริกายังไม่มีมาตรการควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจก แต่ในระดับมลรัฐนั้น ได้มีกลไกการควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
ตัวอย่างเช่น Oregon Standard, Regional Greenhouse
Gas Initiative (RGGI), Western Climate Initiative (WCI), Midwest Greenhouse Gas Reduction Accord (MGGRA) เป็นต้น
Oregon
Standard: รัฐออริกอน เป็นรัฐแรกของสหรัฐอเมริกาที่มีมาตรการควบคุมการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1997 มาตรการนี้ใช้ควบคุมโรงไฟฟ้าที่สร้างขึ้นใหม่ในรัฐออริกอนซึ่งจะต้องลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลงให้ได้ต่ำกว่า
17% ของโรงงานไฟฟ้าที่มีระบบหมุนเวียนการเผาไหม้ที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด
โดยการลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อาจจะลดโดยตรงหรือใช้วิธีชดเชยการปล่อยก๊าซจากแหล่งอื่นในรูปของการไปสนับสนุนทางการเงินหรือเข้าร่วมในกิจกรรมการลดก๊าซของบริษัทหรือองค์กรอื่นก็ได้
Regional
Greenhouse Gas Initiative (RGGI): โครงการ RGGI นี้เป็นโครงการลดก๊าซเรือนกระจกระดับภูมิภาค ในปี ค.ศ.
2007 ประกอบด้วยรัฐทางชายฝั่งทะเลตะวันออกทั้งสิ้น 10 รัฐ อันได้แก่ คอนเน็กติคัทเดลาแวร์ แมริแลนด์ แมสซาชูเซ็ท เมน นิวแฮมป์เชียร์
นิวเจอร์ซีย์ นิวยอร์ก โรดไอแลนด์ และ เวอร์มอนต์โครงการนี้มีเป้าหมายควบคุมการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้ลดลง
10% ภายในปี ค.ศ.2019 โดยใช้ปีฐานอ้างอิงคือปี
ค.ศ. 2009 เริ่มแรกใช้ควบคุมโรงไฟฟ้าในรัฐสมาชิกที่ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลมากกว่าครึ่งหนึ่งในการผลิตไฟฟ้า
และมีกำลังการผลิตไฟฟ้าเกินกว่า 25 เมกะวัตต์ ต่อมาได้ขยายขอบเขตการควบคุมไปยังโรงไฟฟ้าที่เปิดดำเนินการภายหลังปี
ค.ศ. 2004 และโรงงานไฟฟ้าที่ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล
เกิน กว่า 5% ต่อปี นอกจากนี้ รัฐสมาชิกยังได้มีข้อตกลงในการจัดสรรเงินรายได้จากใบอนุญาตการปล่อยก๊าซออกเป็นสองส่วนคือ
75% นำเข้าเป็นรายได้รัฐ และอีก 25% นำไปใช้เพื่อดำเนินโครงการที่เป็นประโยชน์สำหรับผู้บริโภค
Western
Climate Initiative (WCI): โครงการ WCI เป็นความร่วมมือระหว่างสหรัฐอเมริกาและแคนาดา
ในปี ค.ศ. 2007 มีการรวมตัวของ
7 รัฐในสหรัฐอเมริกา ประกอบด้วย แคลิฟอร์เนีย นิวเม็กซิโก ออริกอน วอชิงตัน
แอริโซนา ยูทาห์ และ มอนแทนา รวมกับ 4 จังหวัดของแคนาดา ได้แก่
บริติชโคลัมเบียแมนิโทบา ควิเบก และ ออนแทรีโอ สมาชิกได้มีข้อตกลงร่วมกันที่จะกำหนดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระดับภูมิภาคและจัดตั้งระบบตลาดการซื้อขายใบอนุญาต
โดยมีเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้15% ภายในปี ค.ศ. 2020 จากปีฐานคือ ค.ศ.
2005 หรือลดลงประมาณร้อยละ 30 จากระดับการดำเนินธุรกิจปกติ
โครงการนี้ใช้ควบคุมก๊าซเรือนกระจกทั้ง 6 ชนิดที่กำหนดไว้ในพิธีสารเกียวโต
ระบบตลาดการซื้อขายใบอนุญาตการปล่อยก๊าซเรือนกระจกนี้จะเริ่มบังคับใช้ในปี ค.ศ. 2012 โดยจะครอบคลุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการผลิตไฟฟ้า
แหล่งอุตสาหกรรมและพาณิชยกรรมขนาดใหญ่ นอกจากนี้จะขยายขอบข่ายการควบคุมไปยังการขนส่ง
แหล่งที่อยู่อาศัย และพาณิชยกรรมอื่นๆ รวมถึง พลังงานในภาคอุตสาหกรรม ในปี ค.ศ.2015
Midwest
Greenhouse Gas Reduction Accord (MGGRA) : ในปี ค.ศ. 2007 มีการรวมตัวของ 6 รัฐในสหรัฐอเมริกา
อันได้แก่ อิลลินอยส์ ไอโอวา แคนซัส มินนิโซตา วิสคอนซิน และจังหวัดแมนิโทบาของแคนาดา
ภายใต้ข้อตกลง MGGRA นี้ สมาชิกร่วมกันจัดทำเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกระดับภูมิภาค
รวมทั้งกำหนดเป้าหมายระยะยาวในการลดก๊าซเรือนกระจกให้ได้ 60-80% จากระดับการปล่อยก๊าซในปัจจุบัน และได้ร่วมกันพัฒนาระบบตลาดการซื้อขายใบอนุญาตซึ่งจะเริ่มดำเนินการในปี
ค.ศ. 2012