Social Credit ระบบที่จีนจะใช้ครองโลก

 
แหล่งที่มา : www.facebook.com/Executive Summary
วันที่โพสต์ :  25 พ.ย. 2561
       
Social Credit ระบบที่จีนจะใช้ครองโลก

ประเทศจีนที่มีประชากรถึง 1.38 พันล้านคน ในขณะที่ขนาดเศรษฐกิจกำลังทะยานกลายเป็นอันดับหนึ่งของโลกแซงหน้าสหรัฐอเมริกา หนึ่งในกลยุทธ์หลักคือการทำให้ประชากรของตนอยู่ในระบียบวินัยสั่งซ้ายหันขวาหันได้เพื่อ พลังทางการเมืองระหว่างประเทศและพลังทางเศรษฐกิจ

อาวุธที่จีนหมายมั่นปั้นมือคือระบบ Social Credit

#SocialCreditคืออะไร [1]

Social Credit คือระบบ National reputation system ที่จะทำการประเมินและให้คะแนนกับบริษัท ห้างร้าน กิจการ ตลอดจนประชาชนแต่ละคน อาจจะเรียกง่ายๆว่า คะแนนความประพฤติ

รัฐบาลจีนตั้งใจว่าในปี 2020 ระบบนี้จะต้องดำเนินการได้เต็มรูปแบบ โดยคะแนนที่กิจการ หรือ ประชาชน ได้รับนั้นจะทำให้ได้รับสิทธิพิเศษในการใช้ชีวิตประจำวัน หรือ ได้รับรางวัลเป็นสิทธิพิเศษในการดำเนินธุรกิจ และหากใครโดนหักคะแนนนี้จนต่ำมากเกินไป ก็จะโดนลงโทษทางสังคม ตัดสิทธิ์ที่จะได้รับ

รัฐบาลตั้งใจเช่นนี้เพราะว่า ประเทศจีนมีความหลากหลายของกิจการและประชาชนมาก และ จำเป็นต้องควบคุมให้มีระเบียบให้ได้ ไม่งั้นจะกลายเป็นยักษ์ใหญ่ที่ไร้การควบคุม

#สิทธิ์ที่จะได้รับและสิทธิ์ที่จะโดนตัดเช่นอะไรบ้าง

-กลุ่มธุรกิจ หากทำการค้าอย่างมีความรับผิดชอบเช่น ไม่ขายของปลอม ไม่โกงลูกค้า ความสะอาดของอาหารไม่ปลอมปน ก็จะได้รับสิทธิพิเศษในการกู้เงินธนาคาร เสียภาษีในอัตราพิเศษ เสียดอกเบี้ยเงินกู้ในเรทพิเศษ ได้รับโอกาสในการลงทุนการค้าใหม่ๆ ส่วนกิจการที่ไม่มีคะแนนที่ดี ก็จะโดนลงโทษด้วยสิ่งที่ตรงข้ามเช่น เสียภาษีเพิ่ม เสียดอกเบี้ยเพิ่มเป็นต้น

-กลุ่มคนทั่วไป หากประพฤติไม่สอดคล้องกับสิ่งที่รัฐบาลอยากให้ทำ ก็จะโดนตัดสิทธิ์เช่น การเดินทางโดยเครื่องบิน การใช้รถไฟความเร็วสูง การตัดสิทธิ์ไม่ให้ลูกเข้าเรียนในโรงเรียนดีๆ ไม่ให้ทำงานในบริษัทที่มีชื่อเสียง ไม่ให้เข้าพักในโรงแรม และ โดนแบล็คลิสท์ในระบบสังคมอีกมากมาย เช่น หาแฟนไม่ได้ แม้กระทั่งความเร็วอินเตอร์เนทก็จะช้าลงทำให้ทำอะไรลำบากมากๆในชีวิต

มีรายงานว่า ในเดือนพฤษภาคม 2018 มีคนหลายล้านคนโดนลงโทษไปแล้ว [2]

#รัฐบาลดูจากอะไรเพื่อให้คะแนน

ในหลายปีที่ผ่านมารัฐบาลผลักดันให้ประชาชนใช้ระบบสมาร์ทโฟนด้วยการทำให้มีราคาถูก และ มีแอพที่ใช้เฉพาะประเทศจีน และ บังคับให้เกิดการจ่ายเงินผ่านสมาร์ทโฟน ทำให้รัฐบาลสามารถล่วงรู้พฤติกรรมทุกประการของคนจีน

เช่น อยู่ที่ไหน คุยกับใคร คุยว่าอะไร(ตรวจสอบทุกการสนทนา) พฤติกรรมการขับรถ สินค้าที่ซื้อมีอะไรบ้าง ซื้อที่ไหน สินค้าที่ซื้อดีต่อสุขภาพหรือไม่ สุขภาพเป็นอย่างไร ชอบเล่นเกมส์อะไร อยู่บ้านมากแค่ไหน หรือ เที่ยวดึกประจำ อ่านบทความอะไร มีแฟนกี่คน ทำงานหนักหรือไม่ เดินทางไปประเทศอะไร

นอกจากนี้ หากมีสิ่งที่รัฐบาลไม่สามารถตรวจสอบได้จากระบบสมาร์ทโฟน เช่น เอาสมาร์ทโฟนวางไว้ แล้วออกไปข้างนอก รัฐบาลก็จะมีระบบ Facial Recognition ที่จะเชื่อมโยงใบหน้ากับฐานข้อมูลทั้งหมดจากสมาร์ทโฟน เช่น เดินไปไหน หยิบเหล้า บุหรี่ สูบบุหรี่ หรือ ขอบุหรี่เพื่อนมาสูบโดยไม่ต้องซื้อ รัฐบาลก็จะล่วงรู้พฤติกรรมทุกประการของประชาชนแบบรายบุคคล ปัจจุบันระบบ Facial Recognition ของจีนกลายเป็นระบบที่รวดเร็วและแม่นยำที่สุดในโลกไปแล้ว [3]

เมื่อข้อมูลทั้งหมดถูกนำมาประมวลผลด้วยระบบ Big Data ก็ทำให้รัฐบาลจีนเสมือนกับมีเชือกผูกไว้กับประชาชนทุกคนที่พร้อมจะกระตุกเตือนเมื่อใครทำอะไรไม่ถูกใจรัฐบาลจีน

#ระบบนี้ถูกวิจารณ์ว่าอย่างไร

แม้รัฐบาลจีนจะบอกว่าความจำเป็นในการมีระบบนี้เพราะ เป็นประเทศที่ใหญ่และจำเป็นต้องควบคุมวินัยของคนและธุรกิจในชาติ แต่ก็มีคำวิจารณ์ว่าระบบนี้เป็นระบบที่ละเมิดสิทธิส่วนบุคคลอย่างร้ายแรงในสายตาชาวตะวันตก เพราะ รัฐบาลจะล่วงรู้ทุกสิ่งทุกอย่างราวกับมีสิทธิ์ในการฉีกจดหมายของประชาชนอ่านทุกฉบับและทำจริงๆ ในขณะที่ชาวจีนกลับมองว่า ไม่เห็นเป็นอะไรเลยถ้าเราไม่ทำอะไรไม่ดี เราจะไปกลัวอะไร และ การทำดีก็จะทำให้เราได้สิทธิพิเศษต่างๆด้วย

ซึ่งคนตะวันตกแย้งว่า ถ้าคุณไม่ได้ทำอะไรผิด ถ้าเช่นนั้นหากมีคนขอเข้าไปในห้องนอน เข้าไปในห้องน้ำ ขออ่านจดหมายที่คุณคุยกับแฟน ขอดูว่าคุณดูคลิปอะไรบ้าง คุณจะยอมไหม ซึ่งแน่นอนว่าคนทั่วไปต้องไม่ยอมและนี่คือความหมายของคำว่า Privacy ในความหมายที่ชาวตะวันตกมี [4]

#ผลดีของการใช้ระบบนี้

ในแง่นึง ประชาชนในประเทศต่างๆอาจจะยินดีที่ได้รับทราบว่า นักท่องเที่ยวชาวจีนที่เอากาแฟร้อนๆสาดพนักงานบนเครื่องบิน นักท่องเที่ยวที่ไปทำอะไรแย่ๆในต่างประเทศก็จะโดนแบนจากการเดินทางออกนอกประเทศ [5] ซึ่งก็จะทำให้เป็นการทำให้คนจีนที่ชอบการเดินทางในต่างประเทศต้องรีบปรับตัวอย่างรวดเร็ว

#ผลร้ายสำหรับชาวโลก

ปัจจุบันนี้ ประเทศจีนใช้กำลังซื้อจากขนาดประชากรที่ใหญ่โตในการกดดันประเทศต่างๆเช่น

-งดซื้อปลาแซลม่อนจากนอร์เวย์เพราะ กรรมการจากนอร์เวย์มอบรางวัลโนเบลให้กับคนที่ต่อต้านรัฐบาลจีน [6]
-งดซื้อกล้วยจากประเทศฟิลิปปินส์ เพราะฟิลิปปินส์ไม่ยอมอ่อนข้อให้เรื่องกรณีพิพาทน่านน้ำที่ทับซ้อนกัน [7]
-ต่อต้านไต้หวัน ที่เลือกประธานาธิบดีที่ไม่อ่อนข้อให้จีนด้วยการ กดดันไม่ให้คนไปเที่ยวไต้หวัน[8]
-ต่อต้านเกาหลีใต้ที่ยอมเอาขีปนาวุธจากอเมริกามาต่อต้านเกาหลีเหนือ ด้วยการปิดกั้นดนตรีจากเกาหลีใต้ทุกอย่าง [9]

เมื่อระบบ Social Credit ดำเนินการอย่างเต็มที่ สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือ รัฐบาลจีนสามารถที่จะนำระบบ Social Credit

- มาหักคะแนนคนที่เดินทางไปในประเทศที่จีนกำลังต่อต้าน 
-ให้คะแนนคนที่ด่า สินค้าจากต่างชาติ ในระบบ Social Media ของจีน
-ให้คะแนนคนที่เดินทางไปยังประเทศที่มีความสัมพันธ์อันดีกับจีน
-ให้คะแนนคนที่ซื้อสินค้าจากบริษัทต่างประเทศที่รัฐบาลจีนส่งเสริม
-ให้คะแนนคนที่ทำอะไรที่ ทำให้พลังทั้ง 1.38 พันล้านคนเกิดพลังต่อประเทศจีน

บางทีสิ่งที่เกิดขึ้นกับแบรนด์ D&G อาจมีเรื่องราวของแนวความคิดนี้อยู่เบื้องหลังก็ได้ แล้วถ้าใช่ การครองโลกอาจไม่ใช่เรื่องยากของคนจีนเลย

จึงเรียนมาเพื่อให้ท่านผู้บริหารได้รับทราบและพิจารณา

[1] https://en.wikipedia.org/wiki/Social_Credit_System
[2] https://www.reuters.com/…/china-to-bar-people-with-bad-soci…
[3] https://www.telegraph.co.uk/…/chinese-facial-recognition-c…/
[4] https://www.businessinsider.com/edward-snowden-privacy-argu…
[5] https://www.scmp.com/…/chinese-tourists-blacklisted-scaldin…
[6] http://www.globaltimes.cn/content/1109932.shtml
[7] https://www.producereport.com/…/china-import-troubles-deepe…
[8] https://jingtravel.com/china-expands-tourism-ban-to-taiwan/
[9] https://www.ft.com/con…/1067ceb6-aaa0-11e8-94bd-cba20d67390c

Visitors: 619,907