Dyson เตรียมตั้งโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในสิงคโปร์ เริ่มผลิตจริงปี 2564

 
แหล่งที่มา : www.techsauce.co วันที่โพสต์ :  27 ต.ค. 2561
       
Dyson เตรียมตั้งโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในสิงคโปร์ เริ่มผลิตจริงปี 2564 

Photo: Autocar.co.uk
Dyson บริษัทด้านเทคโนโลยีจากเกาะอังกฤษ จะเป็นบริษัทแรกที่ทำให้สิงคโปร์กลับมามีโรงงานผลิตรถยนต์อีกครั้งหลังทิ้งช่วงไปยุค 1980 โดยเตรียมตั้งโรงงานผลิตรถยนต์ให้เสร็จในปี 2563 และเริ่มผลิตรถยนต์ในปี 2564

หลังจากก่อนหน้านี้ Dyson บริษัทด้านเทคโนโลยีจากเกาะอังกฤษ ก่อตั้งโดย James Dyson เศรษฐีชาวอังกฤษ ผู้คิดค้นเครื่องดูดฝุ่นแบบสุญญากาศไร้ถุงเก็บ ได้ประกาศแผนลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ๆ ทั่วโลกด้วยวงเงินลงทุน 3,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งต่อมาในช่วงปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา ก็ได้ประกาศว่าจะมีการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าขึ้นมาด้วย

ล่าสุด Dyson ประกาศจะเข้ามาตั้งฐานการผลิตในประเทศสิงคโปร์ โดยตัวโรงงานจะก่อสร้างเสร็จภายในปี 2563 และเริ่มผลิตรถยนต์ได้ในปี 2564 ซึ่งถือเป็นการกลับมาโรงงานผลิตยนต์ในสิงคโปร์อีกครั้ง หลังจากที่เคยเลิกผลิตรถยนต์ช่วงยุค ค.ศ. 1980 (ประมาณปี 2523) จากการเปิดเผยของ ลี เซียน ลุง นายกรัฐมนตรีของสิงคโปร์ ซึ่งประกาศผ่าน Facebook Page ส่วนตัวเพิ่มว่าวิศวกรในสิงคโปร์จะต้อง “ก้าวสู่ความท้าทาย” และ “พิสูจน์ให้ได้ว่าเก่งเท่าเทียมกับระดับโลก” ให้ได้

“การตัดสินใจเลือกสถานที่สำหรับผลิตรถนั้นมีความซับซ้อน โดยอยู่บนปัจจัยหลายอย่าง ประกอบด้วยห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain), ความสามารถในการเข้าถึงตลาด และการมีผู้เชี่ยวชาญที่จะช่วยให้เราบรรลุถึงเป้าหมายได้” James Dyson CEO ของ Dyson กล่าว “ผมมีความยินดีที่จะแจ้งให้คุณทราบว่าบอร์ดของ Dyson ได้ตัดสินใจแล้วว่าจะให้ตั้งโรงงานผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ในประเทศสิงคโปร์”


ภาพโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าที่จะสร้างเสร็จในปี 2563 | Photo: Dyson

นอกจากนี้ James ยังให้เหตุผลในการตั้งฐานการผลิตที่สิงคโปร์ เพราะ Dyson มีแผนการดำเนินงานในสิงคโปร์อยู่ก่อนแล้ว ประกอบประเทศสิงคโปร์มีผู้ที่ชำนาญและโฟกัสในด้านเทคโนโลยี มีความถนัดในด้านการผลิต และสามารถเชื่อมต่อกับระดับภูมิภาคและระดับโลกได้สะดวก

ถึงแม้ว่าจะมีต้นทุนในการผลิตสูง แต่ Dyson ก็ยังมองว่าเป็นสถานที่ที่เหมาะกับการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าอยู่ดี

ซึ่งการเปิดตัวของ Dyson ครั้งนี้ก็ต้องสู้กับผู้เล่นอีกหลายรายในตลาดนี้ที่มีการแข่งขันสูงอยู่พอสมควร แต่ถึงสะท้อนให้เห็นในทางอ้อมด้วยว่าสงครามการค้า (Trade War) ระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน ผู้ได้เปรียบกลับกลายเป็นประเทศที่อยู่ในเอเชียนั่นเอง เพราะบริษัทจากอเมริกาและยุโรปเริ่มลงทุนตั้งลงงานในประเทศในเอเชียที่ไม่ใช่จีนมากขึ้น

อ้างอิงข้อมูลจาก Channel NewsAsia

Visitors: 621,285