รับสังคมผู้สูงอายุ กำกับ ‘ธุรกิจดูแลผู้สูงวัย’ อย่างมีประสิทธิภาพ

 
แหล่งที่มา : 
https://tdri.or.th/2018/06/ageing-business/

วันที่โพสต์ :  22 มิ.ย. 2561
       
รับสังคมผู้สูงอายุ กำกับ ‘ธุรกิจดูแลผู้สูงวัย’ อย่างมีประสิทธิภาพ

อุไรรัตน์ จันทรศิริ

หลายท่านคงทราบกันดีว่าประเทศไทย กำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ และในปี 2563 ไทยจะขยับไปเป็นสังคมผู้สูงอายุ โดยสมบูรณ์ ซึ่งประชากร 20% จะมีอายุ เกิน 60 ปี ตามนิยามขององค์การสหประชาชาติ โดยประเทศไทยจะมีผู้สูงอายุราว 14 ล้านคน

คำถามที่ตามมาคือ ไทยมีความพร้อม มากน้อยเพียงใดในการรองรับการเป็น สังคมผู้สูงอายุ

ปัจจุบันแม้ว่าหน่วยงานภาครัฐจะเป็น กำลังหลักในการดำเนินการเพื่อรองรับต่อการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว เช่น การส่งเสริมระบบการดูแลผู้สูงอายุในชุมชน โดยกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กองทุนระบบการดูแลระยะยาวด้านสาธารณสุขสำหรับผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง โดยสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ การจัดทำหลักสูตรอบรมผู้ดูแลผู้สูงอายุ โดยกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน เป็นต้น แต่เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่าภาคเอกชน เป็นอีกกลไกหนึ่งที่มีส่วนเสริมความพร้อมต่อการรองรับสังคมผู้สูงวัยเช่นกัน โดยเฉพาะบทบาทการเป็นผู้ให้บริการสถานดูแลผู้สูงอายุ

ในอดีตการส่งพ่อแม่หรือผู้สูงอายุในครอบครัวไปอาศัยตามสถานดูแลผู้สูงอายุ หรือที่นิยมเรียกกันว่า “บ้านพัก คนชรา” นั้นถือเป็นเรื่องที่ไม่ได้รับความนิยมมากนัก แต่ด้วยสภาพสังคมและความเป็นอยู่ในปัจจุบันที่ลูกหลานต้องไปทำงานนอกบ้าน การดูแลผู้สูงอายุจึงถูกถ่ายโอนไปยังบุคคล ภายนอก เราจึงเห็นภาพของธุรกิจดูแลผู้สูงอายุเกิดขึ้นจำนวนมาก

ปัจจุบันมีสถานดูแลผู้สูงอายุที่จดทะเบียนกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้าแล้ว 800 ราย และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประมาณการได้จากจำนวนของผู้สูงอายุที่มีภาวะติดเตียงซึ่งถือเป็นกลุ่มลูกค้าหลักของสถานดูแลผู้สูงอายุ และการสำรวจสุขภาวะของผู้สูงอายุของกรมอนามัย พบว่าผู้สูงอายุประมาณ 2% จะมีภาวะติดเตียง หมายความว่าผู้สูงอายุในปัจจุบันจำนวน 11 ล้านคน จะมีภาวะติดเตียงและต้องการผู้ดูแลมากถึง 2 แสนคน

แม้เราจะมีผู้ให้บริการบ้านพักผู้สูงวัยจำนวนมาก หากแต่เรายังไม่มีมาตรฐานบังคับสำหรับการให้บริการ ทั้งในด้านของอาคารสถานที่ การรักษาสุขอนามัย วิธีการปฏิบัติตนของผู้ดูแลต่อผู้สูงอายุ ตลอดจนวิชาชีพของผู้ปฏิบัติหน้าที่ ส่วนใหญ่ยังคงเป็นเพียงมาตรฐานโดยสมัครใจ เช่น คู่มือมาตรฐานบ้านพักผู้สูงอายุ แนวทางการควบคุมการประกอบกิจการให้บริการดูแลผู้สูงอายุที่บ้าน เป็นต้น แต่งานดูแลผู้สูงอายุถือเป็นบริการที่มีความอ่อนไหวสูง เพราะเกี่ยวข้องกับผู้ที่มีความเปราะบาง ทั้งด้านร่างกายและจิตใจ

การขาดการกำกับดูแลที่เข้มงวดอาจทำให้เกิดปัญหา ดังเช่นข่าวการถ่ายคลิปวีดิโอล้อเลียนผู้สูงอายุ โดยผู้ดูแลผู้สูงอายุของสถานดูแลแห่งหนึ่ง แต่เพราะยังไม่มีกฎหมายกำหนดบทลงโทษ เบื้องต้นทางสถานดูแล จึงแก้ปัญหาโดยให้ผู้ก่อเหตุพ้นสภาพการเป็นพนักงาน การที่ไทยยังไม่มีกฎหมายกำกับการประกอบธุรกิจดูแลผู้สูงอายุในภาคบังคับยังส่งผลในด้านอื่นๆ เช่น คนทั่วไป สามารถประกอบธุรกิจได้โดยไม่จำเป็น ต้องขอใบอนุญาต และไม่ต้องมีวุฒิการศึกษาในสาขาที่เกี่ยวข้อง สถานดูแลบางแห่งอาจฝึกอบรมพนักงานระหว่างปฏิบัติงานเท่านั้น หรือเรื่องความแออัดภายในสถานดูแล เป็นต้น

จากประเด็นปัญหาต่างๆ เหล่านี้ ทำให้หลายฝ่ายเกิดความกังวลและชวนให้สังคมกลับมาตั้งคำถามว่า การให้บริการของสถานดูแลผู้สูงอายุในปัจจุบันนั้น มีคุณภาพมาตรฐานเพียงใด แล้วเราควรจะมีมาตรการป้องกันปัญหาหรือไม่อย่างไร

เมื่อศึกษาการกำกับดูแลธุรกิจดูแลผู้สูงอายุในต่างประเทศพบว่า มีการกำหนดมาตรฐานการดูแลผู้สูงอายุที่ชัดเจนตัวอย่างกรณีรัฐเพนซิลเวเนีย สหรัฐ มีการกำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจโฮมแคร์ต้องขออนุญาตประกอบกิจการ โดยก่อนที่จะได้รับและต่ออายุใบอนุญาตนั้นเจ้าหน้าที่รัฐในท้องถิ่นจะทำการตรวจสอบคุณสมบัติของผู้ประกอบการ ซึ่งกฎหมายกำหนดเงื่อนไขว่าจะต้องเป็นแพทย์ หรือพยาบาลวิชาชีพ หรือผ่านการอบรม และมีประสบการณ์ในงานบริการด้านสุขภาพ อย่างน้อย 1 ปี และตรวจสอบว่าผู้ขออนุญาตได้ปฏิบัติตามมาตรฐานที่รัฐกำหนดหรือไม่ เช่น การจัดทำรายงานประจำปี นอกจากนี้ในระดับผู้ปฏิบัติงานยังมีการกำหนดคุณสมบัติไว้อย่างชัดเจนว่า กิจกรรมใดจะต้องดูแลรับผิดชอบโดยใคร เช่น การพักฟื้นที่บ้านต้องอยู่ภายใต้ การดูแลของพยาบาลวิชาชีพ การบำบัด ที่บ้านต้องให้บริการโดยนักบำบัดที่ขึ้นทะเบียนแล้ว เป็นต้น

สำหรับประเทศไทยข่าวดีอย่างหนึ่ง คือเรากำลังจะมีกฎกระทรวงว่าด้วยสถานประกอบการดูแลผู้สูงอายุ และผู้มีภาวะพึ่งพิงออกตาม พ.ร.บ. สถานประกอบการเพื่อสุขภาพ พ.ศ.2559 เพื่อใช้กำกับดูแลธุรกิจดูแลผู้สูงอายุโดยตรง

ตัวอย่างข้อปฏิบัติสำคัญเมื่อมีการบังคับใช้กฎหมาย อาทิ การขออนุญาต ประกอบกิจการ คุณสมบัติของผู้บริหาร หรือผู้ให้บริการจะต้องมีวุฒิหรือประกาศนียบัตรด้านบริการเพื่อสุขภาพ และการปฏิบัติตามมาตรฐานของสถานประกอบการใน 3 ด้าน ได้แก่

   - มาตรฐานด้านสถานที่ เช่น การเว้นระยะห่างระหว่างเตียง
   - มาตรฐานด้านความปลอดภัย เช่น การฝึกอบรมการทำ CPR แก่บุคลากร และ
   - มาตรฐานด้านการให้บริการ เช่น พนักงานต้องผ่านการ ฝึกอบรมหลักสูตรที่จำเป็นต่อการปฏิบัติ หน้าที่

ขณะที่นโยบายสำคัญสำหรับธุรกิจดูแลผู้สูงอายุของไทย คือ การผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางธุรกิจบริการดูแลผู้สูงอายุของโลก ทั้งการส่งเสริมการประกอบธุรกิจดูแลผู้สูงอายุ และการดึงดูดผู้ใช้บริการต่างชาติ ซึ่งปัจจัยสำคัญที่จะดึงดูดลูกค้ากลุ่มนี้ได้ คือการสร้างคุณภาพและมาตรฐานการบริการที่ดี

การบังคับใช้กฎหมายฉบับนี้จึงไม่เพียงแต่เป็นการยกระดับคุณภาพมาตรฐานของธุรกิจดูแลผู้สูงอายุในภาพรวม แต่ยังสามารถใช้เป็นเครื่องมือในการคัดกรองนักลงทุน ที่สนใจเข้ามาลงทุนในธุรกิจนี้อีกด้วย ซึ่งจะส่งผลดีทั้งในเชิงเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ


หมายเหตุ เผยแพร่ครั้งแรก ในวาระทีดีอาร์ไอ กรุงเทพธุรกิจ เมื่อ 22 มิถุนายน 2561

       
Visitors: 626,496