ไปรษณีย์ 4.0 เปิดเกมรบรอบทิศ ไม่กลัวคู่แข่ง

 
แหล่งที่มา : www.thansettakij.com วันที่โพสต์ :  29 พ.ค. 2561
       
ไปรษณีย์ 4.0 เปิดเกมรบรอบทิศ ไม่กลัวคู่แข่ง

ในบรรดารัฐวิสาหกิจ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด หรือ ปณท เป็น หน่วยงานรัฐวิสาหกิจลำดับต้นๆ ที่สามารถสร้างผลกำไรและส่งรายได้เข้ากระทรวงการคลังอย่างต่อเนื่อง หลังจากแยกธุรกิจจากการสื่อสารแห่งประเทศไทย (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) โดยในปี 2560 “ไปรษณีย์ไทย” มีกำไรสุทธิ 4,222 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20% จากปี 2559 ที่ทำได้ 3,500 ล้านบาท ส่วนปีนี้ ตั้งเป้าหมายมีกำไรสุทธิ 4,400-4,500 ล้านบาท


แม้ตอนนี้บริษัททั้งใน และต่างประเทศ เริ่มขยายตัวเข้าสู่ธุรกิจโลจิสติกส์ ไม่ว่าจะเป็น ดีเอชแอล, เอสซีจี เอ็กซ์เพรส และ เคอรี่ เอ็กซ์เพรส เป็นต้น เนื่องจากการเติบโตของอี-คอมเมิร์ซ แต่ด้วยจุดแข็งของไปรษณีย์ไทย ที่มีสาขา 1,400 แห่งทั่วประเทศ ได้ปรับตัวสู้กับคู่แข่งเช่นเดียวกัน

อย่างไรก็ตาม “ฐานเศรษฐกิจ” ได้มีโอกาสสัมภาษณ์พิเศษ นางสมร เทิดธรรมพิบูล กรรมการผู้จัดการใหญ่ ของ ปณท เกี่ยวกับแผนธุรกิจและการปรับตัวกับคู่แข่งขัน

ไม่กลัวคู่แข่ง

ซีอีโอ ไปรษณีย์ไทย บอกกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ตั้งแต่เข้ามารับตำแหน่งในปีแรกได้เคยให้สัมภาษณ์แล้วว่า “อย่าไปกลัวคู่แข่ง” เพราะไปรษณีย์ไทยเป็นของคนไทย ดังนั้นก็ต้องใช้ช่องทางของไปรษณีย์ไทย ที่มีจำนวน 1,400 แห่งครอบคลุมหัวเมืองใหญ่ และยังให้บริการในระดับอำเภอ และตำบล อีกด้วย นอกจากนี้ยังมีไปรษณีย์เอกชน รวมทั้งหมด 5,000 แห่ง จำนวนเครือข่ายดังกล่าวเป็นจุดแข็งที่สำคัญที่ ปณท ให้บริการในพื้นที่ห่างไกล และคนไปรษณีย์รู้พื้นที่ทั้งหมด

บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด (ปณท) เดินหน้าขับเคลื่อนสู่ “ไปรษณีย์ไทย 4.0” หนุนธุรกิจอี-คอมเมิร์ซ ด้วยนวัตกรรมเครื่องคัดแยกกล่องพัสดุและซองจดหมายประสิทธิภาพสูง พร้อมรับมือปริมาณงานกว่า 8 ล้านชิ้นต่อวัน ช่วยเพิ่มความเร็วและคุณภาพการส่ง ตั้งเป้าขยายติดตั้งเครื่องคัดแยกอัตโนมัติทุกศูนย์ไปรษณีย์ทั่วประเทศ

อี-คอมเมิร์ซดันยอดเพิ่ม

อย่างไรก็ตามตลาดอี-คอมเมิร์ซมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในปีนี้ จะขยายตัวจากปีที่แล้ว 20-25% ไปรษณีย์ไทยในฐานะผู้ให้บริการขนส่งไปรษณีย์อันดับ 1 ของประเทศ จึงต้องเตรียมพร้อมรับมือกับปริมาณงานที่จะเพิ่มขึ้น ด้วยการดำเนินตามนโยบาย “ไปรษณีย์ไทย 4.0” ติดตั้งเครื่องคัดแยกพัสดุและเครื่องคัดแยกจดหมายประสิทธิภาพสูงภายในศูนย์ไปรษณีย์ โดยเริ่มนำร่องที่ศูนย์ไปรษณีย์ศรีราชาและศูนย์ไปรษณีย์นครราชสีมา ซึ่งจะทำให้สามารถคัดแยกสิ่งของที่ฝากส่งทางไปรษณีย์ที่มีมากถึง 8 ล้านชิ้นต่อวัน 
   
 
ติดเครื่องคัดแยกอัตโนมัติ

สำหรับเครื่องคัดแยกดังกล่าวที่ดำเนินการติดตั้งนั้นได้แก่ เครื่องคัดแยกพัสดุแบบ Cross Belt Sorter จำนวน 1 เครื่อง สำหรับคัดแยกพัสดุประเภทกล่องด้วยสมรรถนะ 9,000 ชิ้นต่อชั่วโมง มีช่องคัดแยกได้ถึง 77 ปลายทาง ติดตั้ง ณ ศูนย์ไปรษณีย์ศรีราชา และเครื่องคัดแยกจด หมายแบบ Mixed Mail Sorter จำนวน 2 เครื่อง มีคุณสมบัติคัดแยกซองขนาดใหญ่ได้ประมาณ 8,000 ชิ้นต่อชั่วโมง มีช่องคัดแยกเครื่องละ 90 ปลายทาง ติดตั้ง ณ ศูนย์ไปรษณีย์ศรีราชาและศูนย์ไปรษณีย์นครราชสีมา ซึ่งจะสามารถช่วยให้คัดแยกได้รวดเร็วยิ่งขึ้น อีกทั้งลดปัญหากล่อง/ซองชำรุดเสียหาย สูญหาย หรือส่งผิดปลายทาง


ส่วนประสิทธิภาพของทั้ง 2 เครื่องนี้ จะช่วยเพิ่มความรวดเร็วและคุณภาพในกระบวนการคัดแยก โดยใช้ระบบสแกนบาร์โค้ด และการอ่านรหัสไปรษณีย์บนตัวกล่อง/ซอง รวมทั้งการลำเลียงโดยสายพานอัตโนมัติเพื่อลงสู่ช่องคัดแยกปลายทางก่อนบรรจุลงในอุปกรณ์สำหรับส่งต่อไปยังที่ทำการปลายทางต่อไป โดยเริ่มใช้งานแล้ว ณ ศูนย์ไปรษณีย์ศรีราชา จ.ชลบุรี และนอกจากนี้ยังมีโครงการจะขยายการติดตั้งเครื่องดังกล่าวไปยังศูนย์ไปรษณีย์ทั่วประเทศตั้งแต่ปี 2562 เป็นต้นไป ซึ่งการพัฒนาศักยภาพระบบปฏิบัติการไปรษณีย์ในครั้งสำคัญนี้อยู่ภายใต้แผนการดำเนินงานไปรษณีย์ไทย 4.0 ที่จะต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่องต่อไป

อย่างไรก็ตาม ศูนย์ไปรษณีย์ศรีราชา อยู่ในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี) ซึ่งมีปริมาณงานเติบโตมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยศูนย์ไปรษณีย์ศรีราชามีปริมาณงานที่ผ่านศูนย์ต่อวันประมาณ 700,000 ชิ้น ซึ่งมีปริมาณงานมากที่สุดในศูนย์ไปรษณีย์ภูมิภาค


เพิ่มรถนำจ่าย 800 คัน

นอกจากนี้ ไปรษณีย์ไทยยังเสริมความแข็งแกร่งของการเป็นผู้นำด้านการขนส่ง ด้วยการเพิ่มรถนำจ่าย 800 คันภายในปีนี้ พร้อมอำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการอี-คอมเมิร์ซด้วยบริการที่หลากหลาย เช่น บริการรับพัสดุถึงที่ (Pick up service) ในจังหวัดต่างๆ บริการกล่องพร้อมส่ง และแอพพลิเคชัน PromptPost ตอบโจทย์ผู้ค้าออน ไลน์รายย่อยด้วยแอพพลิเคชันที่อำนวยความสะดวกในการเตรียมการจัดส่งสิ่งของ บริการ D-Packet สำหรับธุรกิจ B2C กล่องและซอง “4Commerce” ที่ผลิตมาเพื่อรองรับผู้ประกอบการอี-คอมเมิร์ซโดยเฉพาะ รวมไปถึงบริการ EMS ส่งด่วนทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ และพัสดุลงทะเบียนอีกด้วย


ติดระบบพีโอเอส 200 จุด

ส่วนความคืบหน้าโครงการดิจิตอลชุมชนด้านอี-คอมเมิร์ซ การติดตั้งอุปกรณ์ระบบบริหาร ณ จุดขาย หรือ พีโอเอส (POS : Point of Sale) เรียบ ร้อยแล้วจำนวนกว่า 200 แห่งทั่วประเทศ พร้อมเตรียมเปิดตัวเว็บไซต์ www.thailandpostmart.com อี-มาร์เก็ตเพลสโฉมใหม่ ซึ่งเป็นร้านค้าออนไลน์สินค้าชุมชนที่ใหญ่และครอบคลุมที่สุดของประเทศไทย โดยรวบรวมสินค้าชุมชน ของดีประจำท้องถิ่น และอาหารที่มีชื่อเสียงจาก 77 จังหวัดทั่วประเทศไทย ภายในเดือนพฤษภาคมนี้ ทั้งนี้ ไปรษณีย์ไทย ได้ตั้งเป้าที่จะเดินหน้าติดตั้งระบบ “พีโอ เอส” ซึ่งสามารถจัดการบริหารค้าปลีกผ่านระบบร้านค้าออนไลน์ ระบบการชำระเงิน(อี-เพย์เมนต์) และระบบการขนส่งสินค้า (อี-โลจิสติกส์) ให้ครอบคลุมทุกหมู่บ้านทั่วประเทศไม่น้อยกว่า 5,000 แห่ง ภายในปี 2561


ซึ่งเป็นการส่งเสริมมาตรฐาน และระบบจัดการที่เหมาะสม จะทำให้ชุมชนสามารถมีรายได้ที่มากขึ้น และพึ่งพาตนเองได้ ผนวกกับการเข้าถึงทุกชุมชนทั่วประเทศไทย เป็นหนึ่งจุดแข็งสำคัญของไปรษณีย์ไทย ที่สามารถนำมาเป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนสังคม เศรษฐกิจ และประเทศชาติผ่าน การขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากของประเทศ ส่งเสริมให้ชุมชนมีความเข้มแข็ง สามารถสร้างรายได้เลี้ยงตัวเองอย่างยั่งยืน ซึ่งตรงกับสโลแกนของไปรษณีย์ไทย คือ “ไปรษณีย์ไทย...เครือข่ายชีวิตและเศรษฐกิจไทย”


การติดตั้ง พีโอเอส เป็นนโยบายของทางกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในการต่อยอดโครงการเน็ตประชารัฐ ด้วยการสนับสนุนให้สินค้าชุมชนมีระบบอี-คอมเมิร์ซเพื่อเพิ่มช่องทางการจำหน่ายภายใต้โครงการดิจิตอลชุมชนด้านอี-คอมเมิร์ซนั้น ไปรษณีย์ไทย ได้รับมอบหมายให้เป็น ผู้ดำเนินการพัฒนาแอพพลิเคชันและติดตั้งระบบบริหาร ณ จุดขาย หรือ พีโอเอส (POS: Point of Sale) ให้กับร้านค้าชุมชนที่เข้าร่วมโครง การ โดยปัจจุบันดำเนินการเสร็จกว่า จำนวน 200 จุดทั่วประเทศ ครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยระบบดังกล่าวเป็นการยกระดับมาตรฐานของระบบการจัดการหน้าร้าน รายการสินค้า และการจัดการสินค้าคงคลัง เพื่อให้พร้อมสำหรับการขายของออน ไลน์ในระบบอี-คอมเมิร์ซ
   
ขอบคุณข่าวจาก : THANSETTAKIJ
 
Visitors: 621,615