เปิดพอร์ต 'แจ็ค หม่า' ลงทุนไทย-อาเซียน มีอะไรต้องระวัง?
|
|||
แหล่งที่มา : www.voicetv.co.th | วันที่โพสต์ : 20 เม.ย. 2561 | ||
เปิดพอร์ต 'แจ็ค หม่า' ลงทุนไทย-อาเซียน มีอะไรต้องระวัง? | |||
|
|||
ผู้เชี่ยวชาญและนายกสมาคมอีคอมเมิร์ซไทยชวนเปรียบเทียบ 'ข้อดี-ข้อเสีย' ความร่วมมือการลงทุนและส่งเสริมธุรกิจระหว่าง 'แจ็ค หม่า' แห่งอาลีบาบากรุ๊ป กับรัฐบาลไทย รวมถึงประเทศอื่นๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 'แจ็ค หม่า' ประธานกรรมการบริหาร อาลีบาบา กรุ๊ป และคณะผู้บริหาร เจรจาความร่วมมือกับรัฐบาลไทย เมื่อวันที่ 19 เม.ย.ที่ผ่านมา พร้อมลงนามเอ็มโอยูกับหน่วยงานไทย 5 ฉบับ เพื่อผลักดันการลงทุนสร้าง 'สมาร์ท ดิจิทัล ฮับ' ซึ่งจะส่งเสริมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล ระหว่างคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) กับอาลีบาบา รวมถึงส่งเสริมและพัฒนาตลาดออนไลน์และการท่องเที่ยว ความคืบหน้าเหล่านี้ ได้รับการตอบรับอย่างดีจากภาครัฐและเอกชนหลายส่วน แต่ผู้เชี่ยวชาญและผู้ประกอบการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและอีคอมเมิร์ซของประเทศไทย มีความเห็นที่แตกต่างกัน ซึ่งทุกฝ่ายล้วนมีคำเตือนถึงรัฐบาลและผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องให้ดำเนินการอย่างระมัดระวังและคำนึงถึงบริบทอื่นๆ อย่างรอบด้าน อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยมีข้อจำกัดเรื่องผู้เชี่ยวชาญหรือแรงงานทักษะด้านไอที ถึงแม้จะมีสถาบันการศึกษากว่า 170 แห่งทั่วประเทศเปิดสอนหลักสูตรที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีสารสนเทศ แต่บัณฑิตที่จบออกมาจำนวนมาก กลับไม่มีคุณสมบัติตรงตามที่ตลาดต้องการ จึงไม่เพียงพอต่อความต้องการแรงงานที่มีอยู่ และที่กำลังจะเพิ่มขึ้นในอนาคต |
|||
สิ่งสำคัญที่รัฐบาลต้องเร่งผลักดัน คือ การพัฒนาและส่งเสริมการเรียนรู้และฝึกอบรมบุคลากรในด้านไอที แต่ก็มีอุปสรรคอีกประการหนึ่ง คือ เทคโนโลยีนั้นเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งอาจจะทำให้การวางรากฐานการพัฒนาบุคลากรนั้นไม่ทันต่อเหตุการณ์ ขณะที่ 'ปริญญา หอมเอนก' ประธานบริษัทเอซิส (ACIS) ผู้ให้บริการด้านความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศในประเทศไทย ระบุว่าที่ผ่านมาบริษัทด้านไอทีของไทยจำนวนมากนิยมจดทะเบียนในสิงคโปร์ เพราะมีโครงสร้างและกฎหมายที่เอื้อต่อการดำเนินกิจการด้านไอทีมากกว่า ส่วนการที่รัฐบาลส่งเสริมความร่วมมือกับแจ็ค หม่า บ่งชี้ว่าไทยพร้อมเดินหน้าด้านไอทีและธุรกิจดิจิทัล แต่หน่วยงานภาครัฐก็ยังมุ่งเน้นเฉพาะความร่วมมือกับบริษัทยักษ์ใหญ่ ไม่ได้พัฒนาระบบที่เป็นมิตรกับผู้ประกอบการรายย่อยมากนัก เขายอมรับว่าอาจจะมองในแง่ร้าย แต่สิ่งที่น่ากังวล คือ สินค้าจีนจะเข้ามารุกรานสินค้าไทย อัตราการจ้างงานแรงงานในอุตสาหกรรมหลายๆ อย่างที่เป็นตัวกลางจะหายไป เทรดเดอร์ที่เป็นตัวกลางนำสินค้าจากจีนเข้ามา ก็อาจจะล้มหายตายจาก อัตราการจ้างงาน แรงงานหลายๆ อย่างที่อยู่ในอุตสาหกรรมที่เป็นตัวกลางก็จะหายไป โรงงานผู้ผลิตสินค้าต่างๆ ที่ผลิตอยู่ในเมืองไทยก็จะไม่สามารถแข่งขันได้ เพราะว่าของจีนต้นทุนถูกกว่า |
|||
"ค้าปลีกในอนาคตจะเป็นเหมือน Amazon ที่อเมริกา ซึ่งตอนนี้ Amazon ครอบงำตลาดอเมริกาหมดแล้ว...ฆ่าพวกธุรกิจค้าปลีกดั้งเดิมหมด ซึ่งนั่นคืออนาคตที่ประเทศไทยจะเป็น และนั่นคือ อเมริกากินอเมริกา แต่นี่คือจีนจะเข้ามากินไทย" |
|||
|
|||
ขณะเดียวกัน นายพิชัยตั้งข้อสังเกตว่า แจ็ค หม่า ตัดสินใจลงทุนในไทยน้อยกว่าที่ประกาศว่าจะลงทุนในมาเลเซียถึง 5 เท่า และประกาศให้มาเลเซียเป็นศูนย์กลางในภูมิภาคอีกด้วย ซึ่งเเป็นเรื่องน่าเสียดายที่ไทยไม่ได้เป็นศูนย์กลางของภูมิภาคนี้ ทั้งๆ ที่ที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ของไทยเหมาะสมกว่ามาเลเซียมาก และหากไทยได้เป็นศูนย์กลางจะเป็นประโยชน์กับไทยอย่างมาก |
|||
"การลงทุนของอาลีบาบาในไทยเริ่มเพียง 11,000 ล้านบาทเท่านั้น ซึ่งน้อยกว่าการลงทุนของอาลีบาบาในมาเลเซียเริ่มที่ 7000 ล้านริงกิต หรือประมาณ 56,000 ล้านบาท หรือน้อยกว่าถึง 5 เท่า ไม่ได้ลงทุนในไทยมากกว่าในมาเลเซียเหมือนที่ นายอุตตม สาวนายน รมว. อุตสาหกรรม โฆษณาไว้ก่อนหน้านี้ ส่วนที่จะลงทุนเพิ่มในอนาคต คงต้องดูกันต่อไป" |
|||
|
|||
เปิดพอร์ตการลงทุน 'แจ็ค หม่า-อาเซียน' บทความของนิกเกอิ เอเชี่ยน รีวิว สื่อด้านธุรกิจของญี่ปุ่น ระบุว่า แจ็ค หม่า และเครืออาลีบาบา รุกคืบการลงทุนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างต่อเนื่อง เพราะเป็นตลาดที่กำลังเติบโตและมีกำลังซื้อ อีกทั้งประเทศส่วนใหญ่ในภูมิภาคนี้เป็นประเทศกำลังพัฒนา จึงมีความต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจและส่งเสริมการลงทุน เป็นโอกาสให้แจ็ค หม่า ขยายบทบาทด้านเศรษฐกิจภายในภูมิภาคนี้อย่างรวดเร็ว เมื่อปีที่แล้ว แจ็ค หม่า ประกาศให้ 'มาเลเซีย' เป็นศูนย์กลางของ 'แพลตฟอร์มออนไลน์เพื่อสนับสนุนการค้าโลก' หรือ eWTP และมีการลงนามความร่วมมือระหว่างมาเลเซียกับอาลีบาบา นอกจากนี้ แจ็ค หม่า ยังรับตำแหน่งที่ปรึกษาพิเศษโดยไม่รับค่าตอบแทนให้แก่รัฐบาลมาเลเซียเพื่อพัฒนา 'เขตการค้าเสรีดิจิทัล' ซึ่งจะปรับปรุงอาคารผู้โดยสารเก่าของสนามบินนานาชาติกรุงกัวลาลัมเปอร์ให้กลายเป็นศูนย์กระจายสินค้า กินพื้นที่ประมาณ 111,500 ตารางเมตร รองรับสินค้าประมาณ 1.5 ล้านตัน ภายในระยะเวลา 10 ปีต่อจากนี้ โดยคาดว่าโครงการจะแบ่งเป็น 3 เฟส และแล้วเสร็จภายในปี 2563 ส่วนเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา อาลีบาบาประกาศว่าจะทุ่มงบประมาณเพิ่มเติมอีก 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในสิงคโปร์ เพื่อขยายกิจการของเครือลาซาดา ผู้ให้บริการตลาดสินค้าแฟชั่นออนไลน์รายใหญ่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นการร่วมลงทุนระลอกที่สอง หลังจากเคยทุ่มงบมาแล้ว 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐเมื่อปี 2556 สื่อญี่ปุ่นระบุว่า การเดินหน้าลงทุนในธุรกิจอีคอมเมิร์ซในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เกิดจากแนวโน้มว่าอาลีบาบาจะต้องเจอกับคู่แข่งสำคัญอย่างแอมะซอน ซึ่งวางแผนจะขยายตลาดเข้ามาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้สักระยะหนึ่งแล้ว และคาดว่า แจ็ค หม่า จะเจรจาขยายความร่วมมือกับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคนี้ต่อไป |
|||
ขอบคุณข่าวจาก : voicetv |