‘One Belt One Road’ KWG เชื่อมต้นแบบการพัฒนา จากเซี่ยงไฮ้สู่ไทย

 
แหล่งที่มา : www.thansettakij.com วันที่โพสต์ :  29 มี.ค. 2561
       
‘One Belt One Road’ KWG
เชื่อมต้นแบบการพัฒนา จากเซี่ยงไฮ้สู่ไทย 

หลังจากประสบความสำเร็จภายใต้แนวคิด “หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง” หรือ “วัน เบลต์ วัน โรด” (BRI : The Belt and Road Initiative) เขตเป่าซานและหงเฉียวของเมืองเซี่ยงไฮ้ในประเทศจีน KWG ยังได้ต่อฐานเติมยอดการลงทุนไปยังกลุ่มประเทศต่างๆ ในเอเชีย อาทิ เขตบริหารพิเศษฮ่องกง ในโครงการที่ตั้งอยู่บน วิกตอเรียพีก หรือ เดอะพีก ถือเป็นพื้นที่ที่มีราคาที่ดินที่แพงที่สุดและเป็นย่านอยู่อาศัยสุดพิเศษ เงียบสงบและเป็นส่วนตัวในกลุ่มมหาเศรษฐีฮ่องกงและจีน โดยมูลค่าอยู่ที่ 8 พันล้านบาท แม้ในขณะนี้อยู่ระหว่างการประเมินการพัฒนา แต่คาดว่าจะยกระดับเป็นพื้นที่อยู่อาศัยสุดหรูในอนาคตอย่างแน่นอน
ไม่เพียงแต่ฮ่องกง ทาง มร.แอนโทนิโอ ฮาง ตัท ชาน รองประธานกรรมการ บริษัท คิง ไว กรุ๊ป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ยังมองว่าในภูมิภาคอาเซียนคือพื้นที่ที่สำคัญต่อการขยายการลงทุน ซึ่งหนึ่งในนั้น คือ ประเทศไทย เพราะมีความเชื่อมโยงกับประเทศจีนในหลากหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็น วัฒนธรรม ผู้คน และการค้าที่มีมาอย่างยาวนาน ยิ่งไปกว่านั้นทาง

ดร.คิง ไว ชาน ผู้ก่อตั้งและประธานกรรมการ คิง ไว กรุ๊ป ยังได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งประธานกิตติมศักดิ์ของหอการค้าไทย-จีน ตั้งแต่ปี 2013 และที่สำคัญประเทศไทยยังตั้งอยู่บนจุดยุทธศาสตร์ในตอนกลางของภูมิภาค ตลอดจนมีการขยายตัวทางเศรษฐกิจและโครงสร้างพื้นฐานอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งเป็นจุดหมายปลายทางของการท่องเที่ยว เราจึงปักหมุดประเทศไทยในการลงทุนอย่างเต็มตัวในปี 2016 ในชื่อ King Wai Group (Thailand)


และอีกปัจจัยที่ทาง KWG เข้ามาพัฒนาในประเทศไทยและถือเป็นจุดเด่นในการเล็งเห็นถึงโอกาสการพัฒนาชุมชนเมืองของภาครัฐ คือ โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งทาง มร.แอนโทนิโอ ฮางตัท ชาน มองว่า EEC มีศักยภาพที่ดี เนื่องจากมีความพร้อมในด้านโครงสร้างพื้นฐาน เช่น เครือข่ายถนนและทางรถไฟ รวมถึง 3 จังหวัดที่ EEC จะเชื่อมโยง สู่กรุงเทพฯ ผ่านแผนการด้านโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ เช่น รถไฟความเร็วสูงระหว่างสนามสุวรรณภูมิ สนามบินดอนเมือง และสนามบินอู่ตะเภา
ทั้งนี้ EEC ยังตั้งอยู่บนศูนย์กลางของระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก-ตะวันตก และระเบียงเศรษฐกิจเหนือ-ใต้ เชื่อมต่อมหาสมุทรอินเดียกับมหาสมุทรแปซิฟิก กลุ่มประเทศ CLMV และจีนตอนใต้ นอกจากนี้ ด้วยสิทธิพิเศษในการส่งเสริมการลงทุนใน EEC จากภาครัฐของไทยคาดว่าจะดึงดูดทั้งนักลงทุนในประเทศและต่างประเทศ ให้มาลงทุนได้อย่างคึกคักแน่นอน

ผู้บริหารหนุ่มรายนี้เผยต่ออีกว่า ในช่วง 1-2 ปี ที่ผ่านมา King Wai Group (Thailand) ได้ดำเนินการซื้อธุรกิจประกันภัย และอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยโดยในมิติของอสังหาริมทรัพย์นั้นพร้อมพัฒนาเป็นพื้นที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียมในเขต CBD ของกรุงเทพฯ 3 แห่ง คือ ย่านสุขุมวิท พระราม 4 และโครงการย่านวัชรพล โดยพร้อมเปิดตัวภายในปี 2018 รวมทั้งอีก 2 โครงการใหญ่ในเขตพื้นที่จังหวัดฉะเชิงเทราและจังหวัดพระนครศรีอยุธยา

สำหรับโครงการที่ฉะชิงเทรามีพื้นที่ประมาณ 1,997.6 ไร่ โดยโครงการนี้แบ่งออกเป็นพื้นที่อยู่อาศัย ศูนย์ดูแลสุขภาพ ศูนย์รับรองผู้สูงอายุ พื้นที่สันทนาการและการท่องเที่ยว ยิ่งไปกว่านั้นจะเป็นศูนย์กระจายสินค้าที่สำคัญ และโครงการนี้จะได้ประโยชน์ จากความริเริ่มการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก โดยการพัฒนาระยะแรกจะครอบคลุมพื้นที่ 300 ไร่ มีมูลค่าการลงทุน 3,465 ล้านบาท ใช้เวลาพัฒนา 5 ปี และหัวใจสำคัญยังคงมุ่งเน้นความเป็น Mixeduse เพื่อยกระดับเป็นสมาร์ทซิตี
ด้านโครงการที่อยุธยาเป็นพื้นที่ขนาดใหญ่เช่นกันกว่า 2,600 ไร่ มุ่งพัฒนาไปด้านการศึกษา โดยในระยะแรกมุ่งยกระดับ การพัฒนาอาคารวิทยาเขตระดับปริญญาตรี และปริญญาโท รวมถึงอาคารสนับสนุนที่เกี่ยวของ ซึ่งทางผู้บริหารรายนี้เชื่อมั่นว่า จะเป็นศูนย์กลางทางการศึกษาและแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ที่สำคัญของไทยในอนาคต ในเรื่องของโครงสร้างพื้นฐานโครงการฉะเชิงเทรามีความคล่องตัวสูงเพราะอยู่ใกล้กับสนามบินสุวรรณภูมิเพียง 15 กม. และไม่ห่างจากใจกลางกรุงเทพฯในระยะทาง 40 กม. ขณะที่อยุธยาอยู่ห่างจากย่านธุรกิจใจกลางกรุงเทพเพียง 65 กม.และสนามบินนานาชาติดอนเมืองเพียง 25 กม.โดยแผนพัฒนาทั้งสองเมืองนั้นถอดแบบโครงการ King Wai City Oasis Baoshan มาปรับใช้อย่างสมดุล โดยเฉพาะผังการวางโครงการ การจัดหาสิ่งอำนวยความสะดวก การเชื่อมโยงกับโครงสร้างพื้นฐานและพื้นที่ธรรมชาติ


อย่างไรก็ดีทาง KWG ยังมองตลาดในเชิงบวกและเชื่อว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจในประเทศไทย ฮ่องกง และจีน เป็นไปในทิศทางที่ดีและมีอนาคตที่สดใส จากข้อมูลกองทุนการเงินระหว่างประเทศหรือ IMF คาดการณ์ว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนจะอยู่ที่ 6.5% ด้านฮ่องกงจะเติบโตที่ 2.8% และไทยกระทรวงการคลังได้มีการเพิ่มประมาณการการเติบโตของ GDP เป็น 4.2% จาก 3.8%


“เราเชื่อว่าภาคการศึกษาคือพื้นฐานที่สำคัญและควรเท่าเทียมกันในทุกระดับ จึงได้พัฒนาธุรกิจควบคู่ไปกับการตอบแทนสังคมผ่านการให้โอกาสทางการศึกษา” เผยต่ออีกว่า หลังจากการจัดตั้งศูนย์นวัตกรรมและพัฒนาธุรกิจที่เซี่ยงไฮ้ เมื่อเรามาขยายธุรกิจในไทยเราก็ยังคงนำเอาปรัชญาการ “คืนสู่สังคม” มาพัฒนาควบคู่ไปกับการดำเนินธุรกิจ ผ่านการจัดทำโครงการทุนการศึกษา Hong Kong Scholarship for “Belt and Road” Students (Thailand) ซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่อส่งเสริมนักศึกษาไทยที่มีความสามารถจำนวน 10 คน ได้มีโอกาสไปศึกษาต่อในระดับปริญญาตรีที่ฮ่องกง โดยมูลค่าแต่ละทุน 120,000 ดอลลาร์ฮ่องกง/ปี (ราว 504,000 บาท/ปี) และยังมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ ให้อีกปีละ 50,000 ดอลลาร์ฮ่องกง/ปี (ราว 210,000 บาท/ปี) ทั้งนี้ผู้ที่มีโอกาสได้รับการศึกษายังเป็นส่วนหนึ่งในการทำหน้าที่เป็นทูตสันถวไมตรีในการเสริมสร้างความแลกเปลี่ยน และสายสัมพันธ์ระหว่างประชาชนกับประชาชน ระหว่างฮ่องกงและไทยได้ดีขึ้น
อย่างไรก็ดีทาง KWG ยังมุ่งเดินหน้าจัดกิจกรรมเพื่อคืนสังคมในรูปแบบอื่นๆอีกอย่างครอบคลุม ไม่ว่าจะเป็น ปรับปรุงสิ่งแวดล้อมเพื่อให้เป็นแหล่งของการเรียนรู้ การต่อฐานด้วยการให้และบริจาคอุปกรณ์การเรียน และเงินทุนอีกหลากหลายมิติ อาทิ การเกิดอุทกภัย การศึกษา เป็นต้น และที่สำคัญคือการตั้งเป้าเติมเต็มสังคมในระยะยาวอย่างทั่วถึง ซึ่งทั้งหมดสอดรับกับการดำเนินงานตามกรอบวิสัยทัศน์ด้วยความ “มุ่งมั่นที่จะก้าวสู่อนาคตด้วยการเป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ได้รับการยอมรับในด้านการสร้างสรรค์โครงการที่เป็นเลิศในมาตรฐานคุณภาพอันเปี่ยมด้วยคุณค่าที่ยั่งยืนต่อสังคม”


จากเป่าซาน มาหงเฉียว มุ่งหน้าสู่กรุงเทพฯ ฉะเชิงเทราและอยุธยา คือเส้นทางการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ที่น่าจับตามองจาก KWG เพราะไม่เพียงแต่ประสบการณ์ด้านการพัฒนาชุมชนเมือง แต่มังกรตัวนี้ยังพร้อมมุ่งหน้าต่อยอดพัฒนาธุรกิจการเงินและธุรกิจโลจิสติกส์อย่าง KJT หรือแพลตฟอร์มการค้าปลีกแบบออนไลน์ อย่างไรก็ดีการเข้ามาขยายธุรกิจในประเทศไทยของ KWG ได้เข้ามาสร้างโอกาสทั้งในแง่ของธุรกิจและตอบแทนสังคม ซึ่งเป็นการตอกยํ้า One Belt One Road หรือเส้นทางสายไหมศตวรรษที่ 21 ไม่เพียงเท่านั้นยังนำเอาประสบการณ์การสร้างชุมชนเมืองมาเป็นต้นแบบในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย และที่สำคัญได้เชื่อมความสัมพันธ์อันดีทั้งการค้าและโอกาสในการพัฒนาธุรกิจร่วมกันระหว่างไทย จีน และฮ่องกง อย่างยั่งยืน
   
ขอบคุณข่าวจาก : thansettakij.com
 
Visitors: 615,383