“สมคิด” มั่นใจ ไทยทะยานสูงสู่เศรษฐกิจยุคใหม่ พร้อมขับเคลื่อน เมกะโปรเจค – อีอีซี – ดิจิทัล สู่อนาคต

 
แหล่งที่มา : www.thansettakij.com วันที่โพสต์ :  19 มี.ค. 2561
       
“สมคิด” มั่นใจ ไทยทะยานสูงสู่เศรษฐกิจยุคใหม่ พร้อมขับเคลื่อน
เมกะโปรเจค – อีอีซี – ดิจิทัล สู่อนาคต 


“สมคิด” มั่นใจ”ไทย” ทะยานสู่เศรษฐกิจยุคใหม่ ขับเคลื่อน "เมกะโปรเจกต์ – อีอีซี – ดิจิทัล" พลิกโฉมประเทศเข้าสู่อนาคต การดำเนินการดังกล่าวจะเกิดขึ้นไม่ได้ หากขาดความร่วมมือจากทุกภาคส่วน

นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวในงานสัมมนา “Thailand Taking off to New Heights” อิมแพค เมืองทองธานี จัดโดย สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ)ว่า วันนี้เป็นเวทีประกาศความพร้อมของรัฐบาลในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตในเวทีเศรษฐกิจโลก เเละเป็นเวทีในการประกาศ ทิศทางการส่งเสริมการลงทุนของประเทศไทย ซึ่งนับจากนี้ไป เศรษฐกิจไทยจะทะยานไปสู่โฉมหน้าใหม่และเศรษฐกิจยุคใหม่ในระดับที่พัฒนาขึ้น และพร้อมเป็นศูนย์กลางการลงทุน การคมนาคมขนส่ง และการท่องเที่ยวในภูมิภาคอาเซียน
นายสมคิด กล่าวว่า รัฐบาลได้เตรียมความพร้อมสำหรับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ3 ยุทธศาสตร์ประกอบด้วย

1) โครงการลงทุนขนาดใหญ่ หรือ Mega Projects ที่จะช่วยยกระดับสมรรถนะของโครงสร้างพื้นฐานทางด้านกายภาพของประเทศ อาทิ
  -  โครงการรถไฟฟ้าในเขตกรุงเทพและปริมณฑล
  -  โครงการรถไฟฟ้าในต่างจังหวัด
  -  โครงการรถไฟทางคู่ เชื่อมโยงการขนส่งทั้งภาคเหนือ กลาง อีสานและใต้
  -  โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมโยงภูมิภาค 
  -  โครงการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ระยะที่ 2
  -  โครงการพัฒนา ท่าอากาศยานดอนเมือง ระยะ 3
  -  โครงการพัฒนาท่าอากาศยานภูเก็ต ระยะที่ 2 
  -  ท่าอากาศยานเชียงใหม่ ระยะที่ 1 รวมถึง
  -  โครงการลงทุนด้านพลังงาน ทั้งการสำรวจแหล่งพลังงาน การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานก๊าซธรรมชาติ โครงการลงทุนในโครงข่ายในระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติ เป็นต้น

2) กลุ่มโครงการลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งรัฐบาลตั้งใจพัฒนาให้เกิดการเชื่อมโยงระบบโลจิสติกส์แบบไร้รอยต่อในภูมิภาค ทั้งทางบก น้ำ และอากาศ ในพื้นที่อีอีซีและพื้นที่ใกล้เคียง อาทิ
  -  โครงการรถไฟความเร็วสูงกรุงเทพ-ระยอง เชื่อม 3 สนามบิน
  -  การยกระดับสนามบินอู่ตะเภาให้เป็นศูนย์กลางและเมืองการบินของภูมิภาค 
  -  การพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง โครงการท่าเรือมาบตะพุด ระยะที่ 3
ตลอดจนสนับสนุนให้เกิดเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก EECi เพื่อสนับสนุนการขับเคลื่อนนโยบายThailand 4.0

3) กลุ่มโครงการเพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยเข้าสู่ยุคดิจิทัล หรือไทยเเลนด์ 4.0 อาทิ การลงทุนในระบบ อินเตอร์เน็ตหมู่บ้าน ซึ่งล่าสุดรัฐบาลได้ริเริ่มโครงการลงทุนเคเบิลใต้น้ำ เชื่อมโยง ไทย ฮ่องกง จีน เพื่อให้ไทยสามารถเป็นอินเตอร์เนชั่นแนล เกตเวย์ ในระดับภูมิภาค และการสร้างและพัฒนาดิจิทัลเทรดดิ้ง และการขับเคลื่อนภาคการผลิตและภาคบริการให้เกิดความตื่นตัวเรียนรู้และสามารถเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ระบบดิจิทัลเทคโนโลยีได้ในที่สุด รวมถึงการก้าวสู่บริการของภาครัฐในแบบสมัยใหม่ หรือ e-Government เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริการแก่ประชาชนและภาคธุรกิจ
นายสมคิด กล่าวด้วยว่า ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลได้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยจนทำให้เกิดการขยายตัวในหลายด้าน ทั้งการเติบโตทางเศรษฐกิจ มูลค่าการส่งออกที่เพิ่มขึ้น การขอรับส่งเสริมการลงทุนที่เพิ่มขึ้นทั้งในภาพรวมของประเทศและในพื้นที่อีอีซี ตลอดจนจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เพิ่มมากขึ้น รวมไปถึงการจัดอันดับความสามารถแข่งขันของไทยที่ขยับสูงขึ้นทั้งจาก IMD (International Institute for Management Development) และ WEF (World Economic Forum) การได้รับการจัดอันดับความยากง่ายในการประกอบธุรกิจจากWorld Bank ในปี 2560 ที่ดีขึ้นถึง 20 อันดับในเวลาเพียง 1 ปี และการจัดอันดับจาก US News ว่าไทยเป็นประเทศที่ดีที่สุดในการเริ่มต้นดำเนินธุรกิจ และอันดับ 8 ของประเทศที่น่าลงทุนที่สุด

“ภายใต้การดำเนินยุทธศาสตร์ครั้งสำคัญของประเทศ ผมมั่นใจว่าจะทำให้ในช่วง 3-4 ปีนับจากนี้ไป เป็นช่วงของการพลิกโฉมประเทศครั้งสำคัญไปสู่ระบบเศรษฐกิจยุคใหม่อย่างแท้จริง โดยทุกโครงการรัฐบาลมีนโยบายที่จะให้ภาคเอกชนทั้งในประเทศและต่างประเทศ เข้ามามีส่วนร่วมกับเรา เพื่อสร้างอนาคตของประเทศไทยด้วยกัน” นายสมคิด กล่าว
ด้าน นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะกำกับดูแลบีโอไอ ได้กล่าวในหัวข้อ “การปฏิรูปเศรษฐกิจเพื่อสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน” ว่า รัฐบาลมุ่งเน้นการปฏิรูปเศรษฐกิจของประเทศเพื่อสร้างความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี นวัตกรรม สร้างสามารถในการแข่งขัน ตลอดจนสร้างโอกาสและความเสมอภาคในสังคม ให้มีการเติบโตอย่างครอบคลุมทั่วทุกภาคส่วน

รัฐบาลจึงได้กำหนดแผนปฏิรูปเศรษฐกิจ เพื่อสนับสนุนให้คนไทยเก่งขึ้น สนับสนุนให้ภาคธุรกิจพัฒนาขึ้น และผลักดันให้ภาครัฐมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยมีแผนดำเนินงานใน 3 ส่วน คือ

      1.การเพิ่มผลิตภาพทั้งการเพิ่มประสิทธิภาพในอุตสาหกรรมหลักที่ประเทศไทยมีความชำนาญ และการสร้างฐานอุตสาหกรรมใหม่ที่มีศักยภาพในอนาคต นอกจากนี้ต้องพัฒนาปัจจัยด้านอื่นๆ ในการพัฒนา ขีดความสามารถในการแข่งขัน เช่น การพัฒนาและเสริมสร้างทักษะบุคลากรในด้านที่จำเป็น ต่ออุตสาหกรรมในอนาคต และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์


      2.การรวมกลุ่มในภูมิภาค เพราะการเติบโตทางเศรษฐกิจไทยอย่างยั่งยืน จำเป็นจะต้องบูรณาการเศรษฐกิจร่วมกับภูมิภาคด้วยการส่งเสริมการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เปิดเสรีการค้าและบริการระหว่างประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้าน และ 


      3.การสร้างระบบนิเวศด้านวิจัยพัฒนาและนวัตกรรม เพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขัน ด้วยการปรับปรุงมาตรการและปัจจัยเอื้อให้เกิดการจัดระบบนวัตกรรมให้มีการเชื่อมโยงระหว่างการผลิต
“การดำเนินการดังกล่าวจะเกิดขึ้นไม่ได้ หากขาดความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ซึ่งรวมถึงทุกบริษัทที่เข้าร่วมงานสัมมนาในวันนี้ ในนามของรัฐบาล ผมจึงขอเชิญชวนทุกท่านให้มาร่วมมือกันเพื่อให้เกิดการปฏิรูปด้านเศรษฐกิจที่ส่งผลให้ประเทศไทยสามารถก้าวข้ามกับดักรายได้ปานกลาง และบรรลุเป้าหมายด้านเศรษฐกิจได้อย่างยั่งยืนในอนาคต” นายกอบศักดิ์ กล่าว
ด้าน นางสาวดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการบีโอไอ กล่าวว่า งานสัมมนาครั้งนี้มีนักลงทุนไทยและต่างชาติ รวมถึงหน่วยงานภาครัฐ และสื่อมวลชน เข้าร่วมรับฟังจำนวนมากเกินกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยมีจำนวนร่วม 3,000 คน จึงนับเป็นเวทีใหญ่ที่ภาครัฐและบีโอไอ ได้ประกาศย้ำทิศทางในการส่งเสริมการลงทุนของไทย รวมถึงชี้แจงแนวทาง และความคืบหน้าของพื้นที่อีอีซีให้เข้าถึงกลุ่มผู้สนใจได้โดยตรง เพื่อสนับสนุนให้เกิดการลงทุนในอนาคต

นอกจากนี้ ภายในงานยังมีหน่วยงานต่างๆ ร่วมออกบูธแสดงผลงานและให้ข้อมูลแก่นักธุรกิจที่เข้าร่วมงาน อาทิ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) สำนักงานเพื่อการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (สกรส. หรือ อีอีซี) กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นต้น

พร้อมกันนี้ ยังมีพื้นที่จัดแสดงผลิตภัณฑ์ที่ได้พัฒนาต่อยอดจากการวิจัยและพัฒนา โดยได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ อาทิ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย และสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ รวมทั้งบูธให้ข้อมูลเกี่ยวกับมาตรการสนับสนุนด้านการวิจัยและพัฒนาสำหรับภาคเอกชน
   
ขอบคุณข่าวจาก : thansettakij.com
 
Visitors: 620,695