สัมปทาน “ดิวตี้ฟรี” TOR แยก2สัญญา รายใหม่สู้คิงเพาเวอร์
|
|||
แหล่งที่มา : www.prachachat.net | วันที่โพสต์ : 12 มี.ค. 2561 | ||
สัมปทาน “ดิวตี้ฟรี” TOR แยก2สัญญา รายใหม่สู้คิงเพาเวอร์ | |||
![]() |
|||
ประมูลดิวตี้ฟรีสุวรรณภูมิรอบใหม่ฝุ่นเริ่มตลบ! “นิตินัย ศิริสมรรถการ” หัวเรือใหญ่ ทอท. เผยแผนเร่งออกทีโออาร์ ยันเปิดเสรี-แยก 2 สัญญา ขยายพื้นที่ดิวตี้ฟรีเพิ่ม ด้านสมาคมผู้ค้าปลีกไทยผนึกนักวิชาการ เขย่าขุมทรัพย์ “คิง เพาเวอร์” กดดัน ทอท. อัดยับสัญญา “ดิวตี้ฟรี” เมืองไทยผูกขาด รายใหญ่กินรวบ ฉุดธุรกิจด้อยพัฒนา รายได้เข้าประเทศต่ำ พร้อมเสนอแนวทางปรับเปลี่ยนรูปแบบสัมปทาน หวังดึงรายได้เข้าประเทศได้อีกกว่า 5 หมื่นล้าน กลายเป็นประเด็นร้อนอีกครั้ง สำหรับการเปิดประมูล “สัมปทานดิวตี้ฟรี” ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เพื่อทดแทนสัญญาเดิมระหว่างบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. กับบริษัท คิง เพาเวอร์ จำกัด ที่จะหมดสัญญาในเดือนกันยายน 2563 ขณะที่ ทอท.อยู่ระหว่างการเตรียมจะออกทีโออาร์เพื่อเปิดประมูลรอบใหม่ ผู้ประกอบการค้าปลีกหลายรายเสนอแนวทางใหม่ให้รัฐมีรายได้เพิ่มขึ้น ผลักดันให้เกิดการเปิดเสรี ไม่ผูกขาดเหมือนที่ผ่านมา นายนิตินัย ศิริสมรรถการ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท.เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างให้บริษัทที่ปรึกษาอิสระศึกษาโมเดลธุรกิจประมูลพื้นที่ร้านค้าปลอดอากรหรือดิวตี้ฟรีในสนามบินสุวรรณภูมิ ตามพ.ร.บ.ร่วมทุนฯ 2556 เนื่องจากสัญญาสัมปทานของบริษัทคิง เพาเวอร์ จะสิ้นสุดในเดือน ก.ย. 2563 จึงต้องได้ผู้รับสัมปทานก่อน 2 ปี เพื่อให้ผู้รับสัมปทานวางแผนการลงทุนธุรกิจ ซึ่งผลศึกษาจะได้ข้อสรุปอีก 1-2 เดือนนี้ จากนั้นจะเสนอให้คณะกรรมการ ทอท.พิจารณาก่อนเปิดประมูล คาดว่าจะเริ่มกระบวนการประมูลกลางปีนี้ และได้ผู้รับสัมปทานภายในไตรมาสที่ 3 และไตรมาสที่ 4 ปี 2561 “ที่ปรึกษากำลังประเมินมูลค่าโครงการ จะมีขนาดเท่าไหร่ตาม พ.ร.บ.ร่วมทุนฯ เช่นไม่เกิน 1,000 ล้านบาท 3,000 ล้านบาท และ 5,000 ล้านบาท เพื่อประเมินจุดคุ้มทุนของโครงการ เมื่อสรุปได้แล้ว จะดำเนินการคัดเลือกเอกชนตามขั้นตอนร่วมทุน ซึ่งคาดว่าน่าจะไม่เกิน 3,000 ล้านบาท” นายนิตินัยกล่าวและว่า สำหรับการประมูลรอบใหม่นี้ จะเปิดให้มีการแข่งขันเสรีทั่วไปและแยกเป็น 2 สัญญา ประกอบด้วย สัญญาที่ 1 พื้นที่ดิวตี้ฟรีสนามบินและสัญญาที่ 2 พื้นที่จุดส่งมอบสินค้าปลอดอากรในสนามบิน หรือPick Up Counter โดยจะเปิดประมูลพื้นที่ดิวตี้ฟรีก่อน จากนั้นถึงจะเป็นพื้นที่จุดส่งมอบสินค้าปลอดอากรในสนามบิน รวบพื้นที่เก่า-ใหม่ “พื้นที่ดิวตี้ฟรี เพื่อให้ ทอท.มีรายได้มากขึ้น จะนำพื้นที่เดิมและพื้นที่ใหม่มารวมเป็นสัญญาเดียวและบริหารโดยผู้ประกอบการรายเดียว เพื่อให้ง่ายต่อการบริหาร เกิดการแข่งขันด้านราคาที่เอกชนจะเสนอราคาสู้กัน แต่เราจะใช้กติกาใหม่ คือ เปิดให้แข่งขันกันเสรีทั่วไป”
นายนิตินัย กล่าวว่า ส่วนจุด pick up counter ยังไม่ได้ดำเนินการร่างทีโออาร์ เนื่องจากยังมีเวลาที่จะดำเนินการ เนื่องจากการประมูลจะไม่ยุ่งยากเหมือนกับพื้นที่ดิวตี้ฟรี แต่ได้วางคอนเซ็ปต์ไว้ จะใช้โมเดลเดียวที่สนามบินภูเก็ต ที่คิง เพาเวอร์เป็นผู้ดำเนินการ ในรูปแบบcommon use โดย ทอท.จะกำหนดเงื่อนไขให้ผู้ชนะประมูลจะต้องอนุญาตให้ผู้ประกอบการรายอื่นใช้ pick up counter ได้ด้วย
นอกจากนี้ยังมีพื้นที่ดิวตี้ฟรีในอาคารผู้โดยสารหลังใหม่อีก จะสร้างอยู่ทางด้านตะวันออกของอาคารผู้โดยสารปัจจุบัน ขณะนี้อยู่ระหว่างออกแบบอาคารและรอการอนุมัติรายงานผลกระทบด้าน
สิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) เนื่องจากต้องทุบกระจกบริเวณพื้นที่เคาน์เตอร์โรล A ของการบินไทยและพื้นที่ซีตี้การ์เด้นท์ 5,000 ตร.ม.ที่คิง เพาเวอร์ได้สัมปทานพื้นที่ เพื่อให้เชื่อมกับอาคารเดิม
ขณะนี้ยังไม่ทราบว่าจะมีพื้นที่เชิงพาณิชย์เท่าไหร่ ตามแผนจะเปิดบริการอาคารผู้โดยสารหลังใหม่ในปี 2564 รองรับผู้โดยสาร 30 ล้านคนต่อปี อย่างไรก็ตามหากการออกแบบเสร็จเร็วในเวลาไล่เลี่ยกับการประมูลพื้นที่ดิวตี้ฟรี อาจจะนำมารวมเป็นสัญญาเดียวกันก็ได้ |
|||
![]() |
|||
ผนึกกำลังเขย่าขุมทรัพย์ ดร.ฉัตรชัย ตวงรัตนพันธ์ ผู้อำนวยการบริหาร สมาคมผู้ค้าปลีกไทย (TRA) เปิดเผยว่า ยุทธศาสตร์ของประเทศที่ต้องการผลักดันให้ การท่องเที่ยว เป็นอุตสาหกรรมหลักที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ เพื่อเป็นการเพิ่มรายได้ จึงจำเป็นที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการประมูล ดิวตี้ฟรีต้องปรับเปลี่ยน business model การให้สัมปทานใหม่ ด้วยการเลิกระบบผูกขาด เปิดให้มีการแข่งขัน สมาคมผู้ค้าปลีกไทยได้ร่วมกับคณะนิติศาสตร์ และคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดสัมมนา “สัมปทานดิวตี้ฟรี ก้าวสู่สากล” เพื่อผลักดันให้สัมปทานดิวตี้ฟรีของท่าอากาศยานหลักของไทยเปลี่ยนไปในทิศทางเดียวกับนานาประเทศทั่วโลก และเพื่อให้ ทอท. ซึ่งเป็นเจ้าของพื้นที่สัมปทานและประเทศได้รับประโยชน์สูงสุด ดร.ฉัตรชัย ยังระบุด้วยว่า ทอท.ควรเปลี่ยนรูปแบบสัมปทานจากสัมปทานรายใหญ่รายเดียว เป็นสัมปทานตามหมวดสินค้า ให้มีผู้ประกอบการดิวตี้ฟรีมากกว่าหนึ่งราย ภายใต้รูปแบบการสัมปทานตามหมวดสินค้า เพราะจะทำให้มีการเสนอสินค้าที่มีคุณภาพและความหลากหลายมากขึ้นตามหมวด อาทิ เครื่องสำอาง สุราและบุหรี่ สินค้าแฟชั่น ซึ่งรูปแบบนี้จะสามารถสร้างรายได้สูงสุดแก่สนามบินจากร้านค้าดิวตี้ฟรี ทอท.ควรพิจารณาปรับอายุการสัมปทาน เพราะการให้สัมปทานในต่างประเทศจะมีอายุเฉลี่ยเพียง 5-7 ปี ในขณะที่ประเทศไทยมีอายุเริ่มต้นที่ 10 ปี นอกจากนี้ก็ควรพิจารณาปรับเพิ่มค่าธรรมเนียมสัมปทานให้สูงขึ้น เพราะยังต่ำกว่าต่างประเทศมาก คือ อยู่ที่ 15-19% ของรายได้จากการประกอบกิจการ ส่วนต่างประเทศจะอยู่ที่ประมาณ 25-47% จึงทำให้ ทอท.และภาครัฐสูญเสียโอกาสและรายได้จำนวนมาก “การมีผู้ประกอบการดิวตี้ฟรีมากกว่าหนึ่งราย ทำให้ประเทศมีรายได้เพิ่มขึ้น ซึ่งสมาคมประเมินไว้คือไม่ต่ำกว่า 5 หมื่นล้านบาท” ผู้อำนายการบริการ สมาคมผู้ค้าปลีกไทยย้ำว่า
กระทรวงการคลังและกรมสรรพากร กระทรวงการท่องเที่ยว ควรเข้ามาควบคุมดูแลด้วยไม่ใช่ ทอท. รวมทั้งหน่วยงานที่เปิดประมูลไม่ใช่หน่วยงานที่รับค่าสัมปทาน เพื่อให้ประเทศได้รับประโยชน์สูงสุด” ดร.เดือนเด่นกล่าว เช่นเดียวกับรองศาสตราจารย์ ดร.นวลน้อย ตรีรัตน์ คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวเสริมว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นจากการให้สัมปทานรายใหญ่รายเดียวในช่วงที่ผ่านมาเป็นตัวฉุดให้ธุรกิจดิวตี้ฟรีของไทยขาดการแข่งขัน ศาสตราจารย์ ดร.ศักดา ธนิตกุล อดีตคณบดี คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวเสริมด้วยว่า แม้ว่าประเทศไทยจะมี พ.ร.บ. แข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2560 แต่กฎหมายดังกล่าว ไม่ครอบคลุมถึงกรณีการประมูลสัมปทานดิวตี้ฟรี แต่ตามมาตรา 17 (11) เปิดให้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบผลการศึกษาได้ 3 ทาง คือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม รัฐมนตรีกว่าการกระทรวงการคลัง และคณะรัฐมนตรี คิง เพาเวอร์ลั่นพร้อมทุกรูปแบบ |
|||
ขอบคุณข่าวจาก : prachachat.net |