เด็กเลิกกวดวิชา! หันพึ่งออนไลน์ - สถาบันติวทรุด

 
แหล่งที่มา : www.thansettakij.com วันที่โพสต์ :  9 มี.ค. 2561
       
 เด็กเลิกกวดวิชา! หันพึ่งออนไลน์ - สถาบันติวทรุด

โรงเรียนกวดวิชายักษ์ใหญ่ซีด! รายได้วูบ 30-40% หลังผู้เรียนลดกว่าครึ่ง เร่งปรับแผนปิดสาขาลดต้นทุน ชี้! ปัจจัยมาจากเด็กเกิดใหม่น้อย เศรษฐกิจฝืดเคือง แห่เรียนออนไลน์เพิ่ม    
‘ติวเตอร์-ออนไลน์’ โตสวนกระแส!


ธุรกิจโรงเรียนกวดวิชาเมืองไทย ซึ่งมีมูลค่ารวมราว 1 หมื่นล้านบาท ถือเป็นธุรกิจที่มีขนาดใหญ่ โดยส่วนแบ่งตลาดกว่า 50% เป็นของโรงเรียนกวดวิชาที่มีเชนสาขากระจายอยู่ในกรุงเทพฯ และหัวเมืองหลัก รวมทั้งมีระบบการบริหารจัดการเต็มรูปแบบ ทิศทางการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และกระแสนิยมในการเรียนกวดวิชาเป็นตัวผลักดันให้กรมสรรพากรต้องลงมาดูถึงแนวทางการจัดเก็บภาษีในเวลาต่อมา


ล่าสุด พบว่า เชนโรงเรียนกวดวิชากำลังเผชิญกับวิกฤติอีกครั้ง เมื่อผลประกอบการลดลง 30-40% จากจำนวนผู้เรียนที่หายไปกว่า 50% ทำให้ต้องเร่งปรับตัวอย่างหนัก บางรายต้องปิดสาขาที่มีผู้เรียนน้อย ขณะที่มีค่าใช้จ่ายสูง จนเกิดภาวะขาดทุน อีกทั้งยังพบว่า ในช่วงปีที่ผ่านมา โรงเรียนกวดวิชาขนาดใหญ่ไม่มีการขยายสาขาเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด เนื่องจากต้องการควบคุมต้นทุนและค่าใช้จ่ายเพื่อให้เกิดกำไร หลังจากที่มีภาระค่าใช้จ่ายภาษีให้กับกรมสรรพากรด้วย


แหล่งข่าวผู้ประกอบการโรงเรียนกวดวิชารายใหญ่ กล่าวแสดงความคิดเห็นกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า 1-2 ปีที่ผ่านมา มีโรงเรียนกวดวิชาใหม่ ๆ เกิดขึ้นน้อยมาก ขณะที่รายใหญ่ก็ชะลอการขยายสาขา บางรายถึงกับปิดสาขาหรือควบรวมสาขาเพื่อลดต้นทุน ซึ่งวันนี้จะเห็นแหล่งกวดวิชาขนาดใหญ่ที่มีโรงเรียนกวดวิชาเข้าไปเปิดให้บริการเริ่มติดป้ายปิดทำการ / ย้ายสาขา / เซ้งระยะยาว จากเดิมที่มีนักเรียนจำนวนมากเดินเข้า-ออก เพื่อเรียนกวดวิชา ภาพเหล่านี้วันนี้ไม่มีแล้ว

บรรยากาศหน้าทางเข้าแหล่งรวมโรงเรียนกวดวิชาดัง ย่านพญาไท ที่ครั้งหนึ่งคราคร่ำไปด้วยนักเรียนจำนวนมาก แต่วันนี้ (6 มี.ค. 61) กลับบางตาอย่างเห็นได้ชัด แม้จะอยู่ในช่วงติวเข้มเตรียมตัวเข้าเรียนต่อมหาวิทยาลัย
หากวิเคราะห์ถึงปัจจัยที่ส่งผลกระทบ พบว่า มีปัจจัยรอบด้านที่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจทั้งทางตรงและทางอ้อมได้แก่

  - จำนวนประชากรเกิดใหม่ที่ลดน้อยลง ส่งผลให้มีผู้ที่อยู่ในวัยเรียนน้อยลง,

  - สภาพเศรษฐกิจที่ผันผวนต่อเนื่องเป็นเวลาหลายปี

  - ขณะที่ค่าครองชีพที่สูงขึ้น ภาระค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เพิ่มขึ้น ทำให้ผู้ปกครองลดค่าใช้จ่ายในการเรียนพิเศษและกวดวิชาลง เพราะการเรียนแต่ละคอร์ส (รายชั่วโมง) มีค่าใช้จ่ายที่สูงราว 3,000-8,000 บาท


นอกจากนี้ ยังพบว่า ผู้ประกอบการโรงเรียนกวดวิชาขนาดใหญ่มีภาระต้องจ่ายภาษี ทำให้มีต้นทุนค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น ขณะที่การแข่งขันที่สูงทำให้ไม่สามารถปรับขึ้นราคาค่าเรียนได้ จึงต้องแบกรับภาระไว้เอง และเลือกที่จะหันไปลดต้นทุนในด้านอื่น ๆ แทน


อีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลกระทบ คือ

  -  พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป ให้ความนิยมเรียนกวดวิชาแบบตัวต่อตัวมากขึ้น เพราะเชื่อว่า ได้ผลลัพท์ดีกว่า ส่งผลให้เกิดติวเตอร์หน้าใหม่ ๆ เพิ่มขึ้น

 -  ขณะที่การกวดวิชาผ่านโลกออนไลน์ก็ได้รับความนิยมไม่แพ้กัน เพราะความสะดวก สามารถเลือกเรียนได้ตามต้องการ ไม่ว่าจะเรียนเวลาใด สถานที่ใด และมีค่าใช้จ่ายต่ำ


“ปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้ ส่งผลกระทบอย่างมาก ทำให้โรงเรียนกวดวิชารายใหญ่ต้องเร่งปรับตัว แตกต่างกับรายกลางและเล็ก ที่มีความยืดหยุ่นได้มากกว่า ขณะที่โรงเรียนกวดวิชาห้องแถวที่เปิดสอนกลุ่มเด็กประถมในพื้นที่ใกล้เคียงยังคงมีการเติบโต”
ด้าน นายแมทธิว กิจโอธาน ประธานกรรมการวอลล์สตรีท อิงลิช ประเทศไทย กล่าวว่า ผลประกอบการโดยรวมของวอลล์สตรีท อิงลิช ในช่วงที่ผ่านมา ลดลงราว 40% จากเดิมที่เคยมีรายได้ 700 ล้านบาทต่อปี เหลือเพียง 400 ล้านบาท เป็นผลมาจากภาวะเศรษฐกิจที่ไม่ดี ทำให้กำลังซื้อไม่ดี ผู้ปกครองชะลอการจับจ่าย ขณะที่รูปแบบการเรียนการสอนของวอลล์สตรีทเป็นการขายคอร์สแบบ Level ทำให้ผู้เรียนต้องเรียนเป็นลำดับชั้น การตัดสินใจเรียนจึงยากขึ้น
อย่างไรก็ดี ล่าสุด วอลล์สตรีทได้ปรับรูปแบบการขายเป็นรายเดือน ทำให้ผู้เรียนสามารถกำหนดค่าใช้จ่ายในการเรียนได้ นอกจากนี้ยังเพิ่มช่องทางการทำตลาดให้มากขึ้น ทำให้เชื่อว่า ในสิ้นปีนี้จะมีรายได้เพิ่มขึ้นเป็น 700 ล้านบาทเท่าเดิม และตั้งเป้ามายที่จะมีรายได้เพิ่มขึ้นเป็น 2,000 ล้านบาท ภายใน 5 ปีนับจากนี้
   
ขอบคุณข่าวจาก : thansettakij.com
 
Visitors: 618,015