หน้าใหม่
|
|||
แหล่งที่มา : www.positioningmag.com | วันที่โพสต์ : 28 ม.ค. 2561 | ||
เปิด 10 เทรนด์ AI ที่ต้องจับตาในปี 2018 | |||
การเข้าสู่โลกใหม่ที่มีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence หรือ AI) รอเปิดประตูต้อนรับอยู่นั้นอาจไม่ใช่เรื่องน่าสนุก แต่ถึงวันนี้คงต้องยอมรับว่า ทุกประเทศ โดยเฉพาะประเทศผู้นำ หรือประเทศที่มีศักยภาพต่างยอมทุ่มงบประมาณ และกำลังคนเข้ามาร่วมแข่งขันในการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์กันแล้วทั้งสิ้น โดยในรายงานของแมคคินซีย์ (McKinsey) เกี่ยวกับการลงทุนด้าน AI นั้นพบว่า บริษัทยักษ์ใหญ่เช่น อัลฟาเบ็ท (Alphabet) ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของกูเกิล (Google) มีการลงทุนไปกับ AI ราว 30,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่ไป่ตู้ (Baidu) หนึ่งในพี่น้องค้างคาวของจีนก็ลงทุนไปถึง 20,000 ล้านเหรียญสหรัฐในปีที่ผ่านมาเช่นกัน ความสำคัญในระดับนี้จึงเป็นที่น่าจับตาว่าเทรนด์ของ AI จะทำให้โลกเปลี่ยนไปอย่างไรบ้างในปี 2018 ซึ่งอาจประกอบด้วย |
|||
1. AI จะกลายเป็นประเด็นพูดคุยทางการเมือง |
|||
เหตุที่กล่าวเช่นนี้เพราะ AI นั้นสามารถสร้างงานใหม่ ๆ ขึ้นได้ก็จริง แต่ก็จะมีพนักงานบางคนที่ตกงานเพราะ AI ด้วยเช่นกัน เช่นกรณีของรถยนต์ไร้คนขับ ที่โกลด์แมน แซคส์ (Goldmen Sachs) คาดการณ์ว่าจะมีพนักงานขับรถตกงานถึง 25,000 คนต่อเดือน
หรือในกรณีของโกดังอัจฉริยะที่สามารถบริหารงานได้ด้วยคนเพียง 10 - 20 คน นั่นหมายความว่าจะมีแรงงานประมาณหนึ่งล้านคนในสหรัฐอเมริกาที่ไม่มีรายได้ ซึ่งถือเป็นเรื่องที่น่ากังวลสำหรับตลาดที่ AI มาถึงแล้วอย่างสหรัฐอเมริกา เพราะถึงแม้ประธานาธิบดีคนใหม่อย่างโดนัลด์ ทรัมป์ จะจำกัดการให้วีซ่าแก่พลเมืองของประเทศอื่นด้วยมองว่าเข้ามาแย่งงานคนอเมริกันทำแล้วก็ตาม แต่ตลาดแรงงานของสหรัฐอเมริกาก็ใช่ว่าจะปรับตัวให้มีคุณสมบัติมากพอที่จะขึ้นมาทำงานกับ AI ได้แต่อย่างใด |
|||
2. ระบบโลจิสติกส์จะถูกเปลี่ยนโฉมหน้าไปตลอดกาล | |||
ในสหรัฐอเมริกามีบริษัทอย่าง คีว่า ซิสเต็มส์ (Kiva Systems) หรือปัจจุบันที่ใช้ชื่อว่าแอมะซอน โรโบติกส์ (Amazon Robotics) ซึ่งเป็นบริษัทที่นำปัญญาประดิษฐ์มาใช้ร่วมกับหุ่นยนต์เพื่อปลดล็อกปัญหาเดิม ๆ ของวงการโลจิสติกส์แล้ว และเทคโนโลยีนี้จะทำให้โกดังในอนาคตมีสภาพแตกต่างไปจากปัจจุบันอย่างสิ้นเชิง เพราะการนำหุ่นยนต์เข้ามาใช้จะทำให้สามารถทำงานติดต่อกันทุกวันตลอด 24 ชั่วโมงได้ และบางทีอาจไม่ต้องใช้แสงสว่างในการแพ็กของอีกต่อไป เนื่องจากหุ่นยนต์สามารถทำงานได้โดยไม่ต้องใช้แสงนั่นเอง | |||
3. อุตสาหกรรมรถยนต์จะมุ่งสู่การผลิตรถยนต์ที่ขับเคลื่อนได้ด้วยตัวเอง |
|||
การผลิตรถยนต์ขับเคลื่อนได้ด้วยตัวเอง (Self-Driving Car) จะกลายเป็นกระแสหลักที่ทุกค่ายรถต่างต้องมุ่งไป ไม่ว่าจะพอใจหรือไม่ก็ตาม โดยมีเทสล่า (Tesla) บริษัทของอีลอน มัสก์เป็นผู้นำเทรนด์ ซึ่งคนที่ตามหลังมา ได้แก่ ออดี้ (Audi) ที่มีแผนจะเปิดตัวรถยนต์อัจฉริยะของตนเองในปี 2018 ส่วนรถยนต์ยี่ห้อคาดิลแล็ค (Cadillac) และวอลโว่ (Volvo) ก็เผยว่ากำลังพัฒนาเทคโนโลยีการขับเคลื่อนด้วยตัวเองนี้อยู่เช่นกัน | |||
4. ความต้องการนักวิทยาศาสตร์ข้อมูลจะแซงหน้าวิศวกร |
|||
ไอบีเอ็ม (IBM) ออกมาคาดการณ์ว่า ความต้องการพนักงานในตำแหน่งนักวิทยาศาสตร์ข้อมูล หรือ Data Scientist จะเพิ่มขึ้นเป็น 2.7 ล้านคนในปี 2020 เนื่องจากการใช้งาน AI ที่สูงขึ้น อีกทั้งยังพบว่า การประมวลผลข้อมูลเพื่อนำมาใช้งานจะเป็นสิ่งที่บริษัททุกขนาดไม่ว่าจะองค์กรเล็กหรือใหญ่จำเป็นต้องทำ จึงทำให้ตำแหน่ง Data Scientist กลายเป็นตำแหน่งที่มีความจำเป็นต่อธุรกิจในอนาคต | |||
5. รูปแบบการโค้ชพนักงานจะเปลี่ยนไป |
|||
เหตุที่กล่าวเช่นนั้น เพราะจะมีเทคโนโลยีแมชชีนเลิร์นนิ่งจะเข้ามาช่วยสอนงานพนักงานแทน ยกตัวอย่างเช่น Gong หรือ Chorus เครื่องมือบันทึกเสียงสนทนาของพนักงานขาย ซึ่งจากนั้นระบบสามารถนำมาวิเคราะห์และสอนวิธีพูดกับลูกค้าอย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าเดิมได้ โดยมีการคาดการณ์กันว่า AI ที่จะมาซัพพอร์ตพนักงานระดับบนนั้นจะเริ่มเห็นได้มากขึ้นในปี 2018 นี้ |
|||
6. คอนเทนต์ข่าวจะสร้างโดยใช้ AI |
|||
ปัจจุบัน ผู้ผลิตสื่ออย่าง ยูเอสเอทูเดย์ (USA Today) ซีบีเอส (CBS) เอพี (Associated Press) หรือ Hearst ต่างก็นำ AI มาใช้ในการผลิตคอนเทนต์แล้ว ตัวอย่างที่ดีคงเป็น Wibbitz ซึ่งเป็น AI ที่ช่วยเปลี่ยนคอนเทนต์แบบเขียนให้กลายเป็นคอนเทนต์ในรูปแบบวิดีโอได้ในเวลาไม่กี่นาที และในปี 2018 จะเป็นปีที่ผู้อ่านอาจจะได้เห็นการปรับใช้ AI มาเขียนข่าว หรือผลิตคอนเทนต์วิดีโอได้มากขึ้น |
|||
7. AI จะจับมือกับบล็อกเชนทำให้เกิดความโปร่งใสตามมา |
|||
บริษัทชื่อพรีเสิร์ช (Presearch) เป็นบริษัทหนึ่งที่ตั้งเป้าจะใช้บล็อกเชนและ AI สร้างความโปร่งใสให้กับวงการเสิร์ชมากขึ้น โดยทางพรีเสิร์ชมองว่า ทุกวันนี้ กูเกิล (Google) ครองส่วนแบ่งตลาดเสิร์ชเอนจินไว้มากกว่า 80% แต่มีน้อยคนที่จะเข้าใจว่า อัลกอริธึมของกูเกิลนั้นเลือกคอนเทนต์อย่างไรให้ผู้บริโภคแต่ละคนได้รับชมกัน ด้านพรีเสิร์ชจึงเข้ามาแก้ปัญหานี้ ด้วยการใช้บล็อกเชนเป็นตัวสร้างความโปร่งใส และวางแผนว่าจะให้เงินดิจิตอลเป็นการตอบแทนให้กับผู้ที่ยอมให้บริษัทเช่าใช้พลังของคอมพิวเตอร์ในการเสิร์ชครั้งนี้ด้วย | |||
8. ผู้บริโภคยุคใหม่จะคุ้นเคยกับ AI ผ่านระบบการสั่งการด้วยเสียง |
|||
ในปี 2018 จะเป็นปีที่ผู้บริโภครู้สึกสบายใจมากขึ้นที่จะพูดกับผู้ช่วยดิจิตอลซึ่งเป็น AI ของตนเอง ไม่ว่าจะพูดกันผ่านลำโพง, สมาร์ทโฟน หรือแม้กระทั่งทีวี ซึ่งประเทศที่เห็นเทรนด์นี้ก่อนใครน่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา เนื่องจากมียอดขายลำโพงอัจฉริยะในปีที่แล้วกว่า 20 ล้านเครื่อง (เฉพาะแอมะซอนอย่างเดียว) | |||
9. จะเกิดการจับมือกันขององค์กรด้านเทคโนโลยี-การทหาร |
|||
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ DARPA หน่วยงานด้านวิจัยระดับสูงเพื่อการทหารของสหรัฐอเมริกาในตอนนี้ได้จับมือกับบอสตัน ไดนามิกส์ เพื่อออกแบบหุ่นยนต์ที่นำ AI เข้ามารวมอยู่ด้วย | |||
10. AI จะถูกนำมาใช้ต่อกรกับโรคระบาดมากขึ้น |
|||
เทคโนโลยีอย่างบล็อกเชน เมื่อรวมเข้ากับ AI ซึ่งอาจฝังอยู่ในชิปขนาดเล็กอาจถูกนำไปใช้ในการวิเคราะห์โมเลกุล หรือใช้ในการรักษาโรค นอกจากนี้ ยังอาจมีการใช้แมชชีนเลิร์นนิ่งเพื่อค้นหายารักษาอาการป่วยตัวใหม่ หรือกระบวนการรักษาอาการป่วยแบบใหม่ เพื่อให้คนไข้หายป่วยได้เร็วขึ้น และประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากขึ้น | |||
เรียบเรียงจาก
https://www.msn.com/en-us/news/technology/10-artificial-intelligence-trends-to-watch-in-2018/ar-AAuU7Ub?li=AA4Zoy&ocid=spartanntp https://www.cnbc.com/2017/05/22/goldman-sachs-analysis-of-autonomous-vehicle-job-loss.html |
|||
ขอบคุณข่าวจาก : positioningmag.com |